วันพุธที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553

http://www.owbaw.org/2009



งานมอบรางวัลสตรีดีเด่นในพระพุทธศาสนาปี 2009
รายละเอียด เข้าไปดูได้ที่   http://www.owbaw.blogspot.com/  

วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553

owba 2 2010



งานมอบรางวัลสตรีดีเด่นในพระพุทธศาสนา เมื่อต้นเดือนมีนาคม 53 ที่ผ่านมา
เป็นครั้งแรกที่มีส่วนร่วมในงานนี้ นับว่าเป็นเกียรติค่ะ ได้ดูแลต้อนรับคณะที่มารับ
รางวัลในงานนี้จากหลายประเทศ และก็มีทั้งภิกษุณี แม่ชี รวมถึง อุบาสิกา ส่วนมากจะดูแลครอบครัวผู้รับรางวัลชาวญี่ปุ่น ที่มาพร้อมกับลูกๆ อีกสี่คน แต่ละคนน่ารักมาก 

Rattanavali Bhikkhuni, Thailand

ภิกษุณี รัตนาวลี

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Native Japanese and Meditation Music - Shakuhachi (Japanese Flute)

เสียงฟรุต ของญี่ปุ่นใช้ฟังเวลานั่งสมาธิ จะทำให้จิตเกิดสมาธินี่คือ
วิธีหนึ่ง ที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยรู้จักกัน

Water Buddha - Zen Bamboo Flute (Shakuhachi)



เสียงดนตรีช่วยขับกล่อมดวงจิตไม่ให้ฟุ้งซ่าน
หลับตาลงแล้วฟังอย่างผ่อนคลาย แล้วจะรู้ว่าจิตเราจะสงบแค่ได้ไหน

วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

การทำบุญตักบาตรจะสมบูรณ์ได้ต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญดังนี้

            ๑.     ต้องเตรียมใจให้พร้อม ข้อนี้ถือว่าสำคัญมาก เพราะบุญที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ใจของผู้ที่ถวาย ท่านแนะนำให้รักษาเจตนาให้บริสุทธิ์ทั้ง ๓ ขณะ คือ

                    ๑.๑.  ก่อนถวายตั้งใจเสียสละอย่างแท้จริง
                    ๑.๒.  ขณะถวาย ก็มีใจเลื่อมใส ถวายด้วยความเคารพ
                    ๑.๓.  หลังจากถวายแล้ว  ต้องยินดีในทานตัวเองจิตใจเบิกบาน
                             เมื่อนึกถึงทานที่ตนได้ถวายไปแล้ว

             การทำใจให้ได้ทั้ง ๓ ขณะดังกล่าวนี้ นับว่ายากมาก เพราะเหตุปัจจัยหลายอย่างที่อาจทำให้จิตใจของเราเศร้าหมองในขณะใดขณะหนึ่งได้

             ๒.     ผู้รับคือพระภิกษุสามเณร เป็นผู้สำรวมระวัง มีข้อวัตรปฏิบัติที่ดีงามตามพระธรรมวินัย ใฝ่ศึกษาเล่าเรียนพระพุทธพจน์ ทรงจำนำมาบอกกล่าว สั่งสอนได้ และเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติเพื่อบรรเทา ราคะ โทสะ โมหะ จนสามารถละขาดได้อย่างสิ้นเชิง

             ๓.    สิ่งของที่ถวาย จะต้องได้มาด้วยวิธีที่สุจริต ไม่เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน ที่สำคัญคือสิ่งนั้น ต้องเหมาะสมแก่พระภิกษุสามเณรด้วย





ขออนุโมทนาค่ะ  ที่มาข้อมูล  หนังสือสร้างบุญ

การตักบาตร

การตักบาตร  เป็นการทำบุญที่ชาวพุทธทั่วไปรู้จักและปฏิบัติมากกว่าการทำบุญประเภทอื่นๆ  การตักบาตรนั้นยังถือว่าเป็นการทำบุญประจำวันของชาวพุทธ และชาวพุทธไทยเชื่อว่าการออกบิณฑบาตรของพระสงฆ์เป็นการช่วยโปรดสัตว์ที่อยู่อบายภูมิ เช่น เปรตวิสัยให้ได้รับส่วนบุญ ด้วยเหตุผลทางจริยธรรมในการทำบุญตักบาตรนั้น พอสรุปได้ดังนี้

๑.   เป็นการสั่งสมบุญในแต่ละวัน เพราะการสั่งสมบุญเป็นเหตุนำความสุขมาให้

๒.   เป็นการเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการทำบุญ ทำให้จิตใจแจ่มใส เพื่อให้มีกำลังใจที่เข้มแข็ง เพราะผู้ที่ไม่มีบุญเกื้อหนุนอยู่ในใจ ย่อมพ่ายแพ้ต่อบาปได้ง่าย

๓.   เป็นการทำที่พึ่งคือบุญให้แก่ตนเองในอนาคต

๔.   เป็นการช่วยรักษาพุทธประเพณี เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีตและที่จะมาตรัสรู้ในอนาคตล้วนแต่ดำรงพระชนม์ชีพด้วยอาหารบิณฑบาต

๕.   เป็นการช่วยสือทอดพระพุทธศาสนา เพราะพระสงฆ์เป็นผู้ศึกษา ปฏิบัติพระธรรมวินัย แล้วนำมาสั่งสอนให้ประชาชนได้รับรสแห่งพระธรรม อีกทั้งยังดำรงตนเป็นตัวอย่างด้านความประพฤติดีงามของสังคม ฉะนั้นชาวพุทธควรทำบุญตักบาตรเป็นประจำทุกวันเพื่อเป็นการสั่งสมบุญให้แก่ตนเอง ที่จะต้องนำไปดุจเสบียงเดินทางในการท่องเที่ยวเวียนเกิดและเวียนตายอยู่ในวัฏสงสาร อันไม่ปรากฏเบื้องต้นและที่สุด และบุญที่สั่งสมไว้นี้จะช่วยเหลือเกื้อกูลให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวง

      อนึ่ง  ประโยชน์ส่วนรวม ที่จะเกิดขึ้น คือเป็นการสือทอดอายุพระพุทธศาสนา เพราะพระสงฆ์ซึ่งเป็นผู้นำของพุทธบริษัท ที่เป็นฐานกำลังสำคัญแห่งกองทัพธรรมนั้น ท่านดำรงชีพอยู่ได้ด้วยปัจจัยที่คฤหัสถ์จัดถวาย ท่านจึงสามารถมีกำลังกายกำลังใจ ที่จะศึกษาพระพุทธพจน์ คือ พระไตรปิฎก ให้เข้าใจ ทรงจำ นำมาประพฤติปฏิบัติและกล่าวสอนมวลมนุษย์ได้



ขออนุโมทนาค่ะ  ที่มาข้อมูล  หนังสือสร้างบุญ

ทำบุญกันดีกว่า

๑.   นั่งสมาธิอย่างน้อยวันละ ๑๕ นาที (หรือเดินจงกรมก็ได้)

      บุญหรืออานิสงส์ เพื่อสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดขึ้นทั้งภพนี้และภพหน้าเพื่อจิตใจที่สว่างผ่อนปรนจากกิเลสปล่อยวางได้ง่าย จิตจะรู้วิธีแก้ปัญหาชีวิตโดยอัตโนมัติ ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองไม่มีวันอับจนผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายและจิตแข็งแรง เจ้ากรรมนายเวรและญาติมิตรที่ล่วงลับจะได้บุญกุศล

๒.   สวดมนต์ด้วยพระคาถาต่างๆอย่างน้อยวันละครั้งก่อนนอน

       อานิสงส์ เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ชีวิตหน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า เงินทองไหลมาเทมาแคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง จิตจะเป็นสมาธิเร็ว แนะนำพระคาถาพาหุงมหากา , พระคาถาชินบัญชร,
พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นต้น เมื่อสวดเสร็จแล้วต้องแผ่เมตตาทุกครั้ง

๓.   ถวายยารักษาโรคให้วัด, ออกเงินค่ารักษาให้พระตามโรงพยาบาลสงฆ์
      
       อานิสงส์  ก่อให้เกิดสุขภาพร่มเย็นทั้งครอบครัว โรคที่ไม่หายจะทุเลา สุขภาพกายจิตแข็งแรง อายุยืนทั้งภพนี้และภพหน้า ถ้าป่วยก็จะไม่ขาดแคลนยารักษา

๔.   ทำบุญตักบาตรทุกเช้า

       อานิสงส์  ได้ช่วยเหลือพระพุทธศาสนาต่อไปทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ขาดแคลนอาหาร ตายไปไม่หิวโหย อยู่ในภพที่ไม่ขาดแคลน ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์

๕.  ทำหนังสือหรือสื่อต่างๆ เกี่ยวกับธรรมะแจกฟรีแก่ผู้คนเป็นธรรมทาน

       อานิสงส์ เพราะธรรมทานชนะการให้ทั้งปวง ผู้ให้ธรรมจึงสว่างไปด้วยลาภยศสรรเสริญปัญญา และบุญบารมีอย่างท่วมท้น เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้ ชีวิตจะเจริญ

๖.   สร้างพระถวายวัด

      อานิสงส์  ผ่อนปรนหนี้กรรมให้เบาบางลง ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรืองสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองแคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง ครอบครัวเป็นสุขได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพระพุทธศาสนาตลอดไป

๗.  แบ่งเวลาชีวิตไปบวชชีพราหมณ์หรือบวชพระ อย่างน้อย ๙ วันขึ้นไป

      อานิสงส์   ได้ตอบแทนคุณพ่อแม่อย่างเต็มที่ ผ่อนปรนหนี้กรรมอุทิศผลบุญให้ญาติมิตรและเจ้ากรรมนายเวร สร้างปัจจัยไปสู่นิพพานในภพต่อๆไป ได้เกิดมาอยู่ร่มโพธิ์ของพระพุทธศาสนา จิตเป็นกุศล

๘.   บริจาคเลือดหรือร่างกาย

     อานิสงส์   ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพร่างกายแข็งแรง ช่วยต่ออายุ ต่อไปจะมีผู้คอยช่วยเหลือไม่ให้ตกทุกข์ได้ยาก เทพยดาปกปักรักษา ได้เกิดมามีร่างกายที่งดงามในภพหน้า ส่วนภพนี้ก็จะมีราศีผุดผ่อง

๙.   ปล่อยปลาที่ซื้อมาจากตลาด รวมทั้งปล่อยสัตว์ไถ่ชีวิตสัตว์ต่างๆ

       อานิสงส์  ช่วยต่ออายุ ขจัดอุปสรรคในชีวิต ชดใช้หนี้กรรมให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยกินเข้าไป ให้ทำมาค้าขึ้น หน้าที่การงานคล่องตัวไม่ติดขัด ชีวิตที่ผิดหวังจะค่อยๆ ฟื้นคืนสภาพที่สดใสอิสระ

๑๐. ให้ทุนการศึกษา, บริจาคหนังสือหรือสื่อการเรียนต่างๆ , อาสาสอนหนังสือ

       อานิสงส์  ทำให้มีสติปัญญาดีในภพต่อๆไป จะฉลาดเฉลียวมีปัญญา ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างรอบรู้ สติปัญญาสมบูรณ์พร้อม

๑๑. ให้เงินขอทาน, ให้เงินคนที่เดือดร้อน(ไม่ใช่การให้ยืม)

       อานิสงส์  ทำให้เกิดลาภไม่ขาดสายทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ตกทุกข์ได้ยาก เกิดมาชาติหน้าจะร่ำรวยและไม่มีหนี้สิน ความยากจนในชาตินี้จะทุเลาลง จะได้เงินทองกลับมาอย่างไม่คาดฝัน

๑๒.  รักษาศีล ๕ หรือศีล ๘

        อานิสงส์ ไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรตหรือสัตว์นรก ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐครบบริบูรณ์ ชีวิตจะรุ่งเรือง กรรมเวรจะไม่ถาโถม ภัยอันตรายไม่ย่างกราย เทวดานางฟ้าปกปักรักษา




ขออนุโมทนาค่ะ ที่มาข้อมูล  หนังสือสร้างบุญ

        
     
       

  

ปล่อยสัตว์ได้มหากุศล ๑๐ ประการ

พระโอวาทสิ่งศักดิ์สิทธิ์

๑.   พ้นจากภัยสงคราม       
      การปล่อยสัตว์ทำให้ชีวิตพ้นภัยอันตรายจากศาสตรา การรบราฆ่าฟันล้วนเกิดจากการฆ่าสัตว์ เมื่อละเว้นจากการฆ่า หันมาปล่อยชีวิต ภัยจากศาสตราก็จะถูกขจัดหมดไป อันนี้ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงชะตะชีวิตโลก

๒.   ความเป็นมงคลจะเข้ามาหา        
       การปล่อยสัตว์เป็นบ่อเกิดแห่งเมตตาธรรม ไอของความปีติสุขปกคลุมกาย การตอบสนองจะเป็นไปตามธรรมชาติ

๓.   มีสุขภาพดีอายุยืน          
       การปล่อยสัตว์มีบันทึกไว้ในพระสูตร กล่าวคือ เปี่ยมด้วยวาสนาตอบสนอง ๒ ประการ คือ  มีอายุและไร้โรคภัย

๔.   ได้บุตรที่กตัญญู       
       การปล่อยสัตว์ ดีกับฟ้าดินที่มีใจให้กำเนิด ดังนั้น จึงได้บุตรกตัญญูเป็นมงคลแก่ครอบครัว

๕.   มีเทพอารักขา         
       การปล่อยสัตว์เป็นการให้ชีวิตใหม่แก่สัตว์ เฉกเช่น ช่วยเหลือบุตรพุทธะ เมื่อได้ช่วยชีวิตสัตว์เหล่าพุทธะต่างชื่นชมยินดี

๖.    สัตว์ทั้งหลายต่างก็สำนึกบุญคุณ           
       เพราะสัตว์ที่ได้รับการช่วยชีวิตล้วนซาบซึ้งบุญคุณ เป็นบุญสัมพันธ์ที่สัตว์เหล่านั้นคิดจะทดแทนไปตราบนาน

๗.   ไม่มีเคราะห์ร้ายใดๆ         
       ผู้มีเมตตาจิต บุญกุศลนับวันเพิ่มพูนเคราะห์ภัยทั้งหลายล้วนมลายหายไป

๘.   บรรเทาภัยสังคม               
       ปัจจุบันกลียุคสมัย ผู้คนลุ่มหลงในอบาย ภัยสุรายาเสพติดดาษดื่น การปล่อยสัตว์สามารถลดวิบากกรรมเหล่านั้นได้

๙.   บุญกุศลไร้ขอบเขต          
       สัตว์ก็มาจากคนที่จุติแล้วไปเกิดเป็นสัตว์ก็กลับมาเกิดเป็นคนอีก หลังชดใช้กรรมจนหมดสิ้น

๑๐.ได้ไปเกิดบนสวรรค์           
      ผู้ละเว้นจากการฆ่าสัตว์หันมาปล่อยชีวิตสัตว์ เมื่อล่วงชีวิตไปแล้ว จะอุบัติในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา สำหรับผู้บำเพ็ญก็จะไปอุบัติยังแดนสุขาวดีพุทธเกษตร บุญกุศลนี้ประมาณมิได้

ขออนุโมทนาค่ะ  ที่มาข้อมูล  หนังสือสร้างบุญ

วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อานิสงส์ของการแจกหนังสือธรรมะเป็นทาน

๑.        กรรมเวรจากอดีตชาติจะได้ลบล้าง
๒.        หนี้เวรจะได้คลี่คลาย พ้นภัยจากทะเลทุกข์
๓.        โรคภัยไข้เจ็บการเจ้ากรรมนายเวรจะพ้นไป
๔.        สามีภรรยาที่แตกแยกจะคืนดีกัน
๕.        วิญญาณของเด็กที่แท้งในท้องจะได้ไปเกิดใหม่
๖.        กิจการงานจะราบรื่นสมความปรารถนา
๗.       บุตรจะเฉลียวฉลาดเจริญรุ่งเรือง
๘.       บารมีจะคุ้มครองลูกหลานให้อยู่เย็นเป็นสุข
๙.       ลูกหลานที่เกเร ดื้อรั้นจะกลายเป็นคนดี
๑๐.     พ่อแม่จะมีสุขภาพที่แข็งแรงและอายุยืนนาน
๑๑.     วิญญาณของบรรพบุรุษ ผู้ที่เราเคารพและรักใคร่จะไปสู่สุคติ



ขออนุโมทนาค่ะ ที่มาข้อมูล หนังสือสร้างบุญ

อานิสงส์การแผ่เมตตา

การแผ่เมตตาเป็นการฝึกจิตให้เป็นสมาธิ เรียกว่า การเจริญเมตตาภาวนา ในการทำสมาธิภาวนา ครูบาอาจารย์มักจะนำแผ่เมตตาก่อน จึงทำสมาธิต่อไป ผู้เจริญภาวนาเมตตาอยู่เนืองๆย่อมมีผลอานิสงส์ตอบสนองถึง ๑๑ อย่างคือ

    ๑.     หลับอยู่สุข
    ๒.     ตื่นเป็นสุข
    ๓.     ไม่ฝันร้าย
    ๔.     เป็นที่รักของมวลมนุษย์
    ๕.     เป็นที่รักของอมุษย์ทั้งหลาย
    ๖.     ทวยเทพเทวดาพิทักษ์รักษา
    ๗.    ไฟ ยาพิษ ศัตราวุธไม่กล้ำกรายแคล้วคลาด
    ๘.     จิตเป็นสมาธิเร็ว
    ๙.     ผิวหน้าผ่องใส
    ๑๐.  ทำให้มีสติก่อนตาย
    ๑๑.  เมื่อยังไม่ถึงแก่ธรรมอันยิ่งย่อมไปเกิดในพรหมโลก

   สำหรับผู้ที่เราแผ่เมตตาไปถึงนั้นถ้าเป็นศัตรูก็จะกลับเป็นศัตรู ถ้ามีเวรมีกรรมจะหมดเวรหมดกรรม
   ถ้าเป็นผู้ที่ถูกเบียดเบียนจะพ้นจากการถูกเบียดเบียน ถ้ามีทุกข์จะคลายจากความทุกข์

   ขออนุโมทนาค่ะ ที่มาข้อมูล  หนังสือสร้างบุญ



   

วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

อานิสงส์ของการไหว้พระสวดมนต์

๑.    การสวดมนต์ทุกวันเป็นมงคลแก่ตนเอง และครอบครัว
๒.    เป็นการบำเพ็ญภาวนาอย่างหนึ่ง
๓.    ทำให้จิตบังเกิดกุศลได้ง่าย
๔.   ทำให้ใจสงบสุขุม
๕.   เหมาะสำหรับการเตรียมตัวก่อนการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
๖.   สวดมนต์เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา
๗.   เป็นบุญที่ได้กล่าวคำศักดิ์สิทธิ์ที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้
๘.   เพื่อป้องกันภัยพิบัติ
๙.   เพื่อความสำเร็จในสมบัติทั้งปวง
๑0.  เพื่อให้ทุกข์ต่างๆหมดไป
๑๑.  เป็นการขจัดภัยต่างๆ
๑๒. เพื่อบรรเทาความเจ็บป่วยต่างๆ

      การสวดมนต์ที่ถูกต้องนั้น ต้องสวดมนต์ไห้ได้ใจความ ไม่สวดเร็วเกินไป หรือสวดช้าเกินไป เสียงดังพอประมาณ เพื่อให้เทพยาดาทั้งหลายเป็นพยานว่า ท่านได้สวดมนต์ถวายเป็นพุทธบูชา

ขออนุโมทนาค่ะ  ที่มาข้อมูล หนังสือสร้างบุญ

เคล็ดการใช้อำนาจบุญ แก้กรรมเก่า-ปัญหาชีวิต

                                                          การเบิกบุญ

         การเบิกบุญเก่าที่เคยสั่งสมแต่อดีตมาใช้ บุญที่เราทำไว้แล้วมีมากมายสะสมอยู่ในสรวงสวรรค์  ทั้งที่ได้ทำไว้แต่ปางก่อนหรือได้ทำในชาตินี้ เราสามารถเบิกบุญนั้นมาแจกจ่ายอุทิศให้แก่ผู้ที่อยู่โลกวิญญาณได้ เหมือนเรามีเงินเก็บในธนาคารเราก็ใช้บัตรเอทีเอ็มกดเบิกเงินออกมาใช้จ่าย แต่การเบิกบุญนั้น ที่สำคัญลืมไม่ได้เลยคือ ต้องอาศัยอำนาจพระรัตนตรัยขึ้นนำก่อนเสมอ คือ ให้ตั้งจิตคิดอธิฐานว่า

" ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธเจ้า  ด้วยอำนาจแห่งพระธรรม  ด้วยอำนาจแห่งพระสงฆ์ จงดลบันดาลให้บุญของข้าพเจ้าที่มีมาในอดีตจนถึงปัจจุบันถึงแก่..........."   จะนึกให้ใครก็คิดนึกให้เอาเอง การเบิกบุญ แจกจ่ายนี้ สามารถให้ได้ทุกที่ทุกเวลาเมื่อนึกขึ้นได้ ไม่ว่าจะยืน เดิน นอน กิน ดื่ม อุจจาระ ปัสสาวะอยู่ก็ตาม


ขออนุโมทนาค่ะ ที่มาข้อมูล  หนังสือสร้างบุญ

วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เคล็ดการใช้อำนาจบุญ แก้กรรมเก่า-ปัญหาชีวิต

โดยพระอาจารย์เกษม อาจิณณสีโล
วัดป่าสามแยก จ.เพชรบูรณ์
วิธีการทำบุญให้เกิดสัมฤทธิ์ผล
พระพทุธเจ้าทรงแสดงที่มาแห่งบุญไว้ ๓ ประการย่อๆดังนี้
๑.   บุญเกิดจากการให้ทาน
๒.   บุญเกิดจากการรักษาศีล
๓.   บุญเกิดจากการภาวนาอบรมจิตใจ

      การสร้างความดีทุกประการนั้น ล้วนเป็นแหล่งของการเกิดผลบุญกุศลทั้งสิ้น แล้วก่อให้เกิดอานิสงส์ที่สร้างความสำเร็จให้กับชีวิตได้ทุกเรื่อง

     บุญอันเกิดจากการให้ทาน เมื่อถวายของแด่พระภิกษุสงฆ์ หรือให้สิ่งของแก่ใคร ไม่ว่าจะเป็นให้ของแก่พ่อแม่ พี่น้อง ญาติมิตร แม้เอาข้าวให้หมากิน เอาอาหารโยนให้ปลากิน เอาเศษอาหารโปรยให้มดกิน
ขณะนั้นจะเกิดกระแสบุญเป็นแสงเรืองรองแผ่ออกจากต้วผู้ให้ทันที และเพียงไม่กี่วินาทีแสงนี้จะพุ่งหายไปเบื้องบน แล้วสะสมเป็นกองบุญของผู้ให้อยู่บนเทวโลก  ดังนั้น  จึงขอเน้นย้ำว่าหลักสำคัญที่สุดว่า ขณะของหลุดออกจากมือเมื่อใส่บาตร ถวายของให้สงฆ์ หรือให้ของแก่ใครก็ตาม เราต้องอธิฐานจิตแผ่บุญทันที  อย่ามัวไปรอแผ่บุญตอนพระสวด "ยถาสัพพี"  เนื่องจากการแผ่ให้ตอนพระยถาฯ อย่างที่เคยปฏิบัติกันมานั้นผิด เพราะกระแสบุญได้เลือนจางหายไปอยู่ในสวรรค์หมดแล้ว ต้องคิดแผ่บุญในทันทีทันใดว่า
"[บุญนี้จงเป็นของเทวดาผู้รักษาตัวข้า หรือ บุญนี้จงเป็นของเจ้ากรรมนายเวรของข้า หรือ บุญนี้จะเป็นของเทวดา ภูตผี ปีศาจ ครุฑ นาค ยักษ์ ที่สถิตอยู่ในสถานที่เรือกสวนไร่นาหรือเคหะสถานบ้านเรือนของข้า"  เป็นต้น ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการแก้ไขปัญหากลัดกลุ้มในเรื่องใด

     บุญอันเกิดจากการภาวนาให้อธิฐานก่อน เช่นว่า ขอบุญที่จะเกิดจากการภาวนาต่อไปนี้ถึงแก่เจ้ากรรมนายเวรที่ทำให้ข้าพเจ้าเจ็บป่วย(เป็นอะไร) หรือเราจะให้ใครอธิฐานเอาเอง แล้วก็ให้เริ่มภาวนาได้เลย หลังจากเลิกภาวนาก็ให้อุทิศบุญนี้ไปอีกครั้งหนึ่ง บุญที่เกิดจากการภาวนานี้จะมีพลานุภาพแรงยิ่งกว่าบุญจากการให้ทานมาก

     ฉะนั้น พวกภูตผีชั้นต่ำมักจะรับไม่ค่อยได้ เราต้องเปิดช่องไว้ก่อนภาวนา เขาจะเตรียมรับตามกำลังความสามารถของตน เพราะถ้าหากจะให้ตอนภาวนาเสร็จแล้วจึงให้ ก็เปรียบเหมือนเราปล่อยน้ำที่พุ่งจากท่อดับเพลิง แต่เขาเอาภาชนะที่ไม่เหมาะสมมารับ เขาจะรับไม่ได้ เนื่องจากกำลังจิตของเขาไม่แข็งแรงพอ หากเราอธิฐานเปิดให้เขาได้เตรียมตัวไว้ก่อน ก็เหมือนกับเปิดก๊อกน้ำออกค่อยๆ ใครมีภาวชนะน้อยก็เอามาตวงรับตามกำลังที่เขามี แต่สำหรับเทวดาบุญหนักศักดิ์ใหญ่ท่านสามารถรับบุญใหญ่หลังจากภาวนาได้อยู่แล้ว เปรียบเหมือนท่านมีโอ่งมีถังขนาดใหญ่สำหรับรองรับน้ำที่พุ่งจากท่อดับเพลิงนั่นเอง

      บุญเกิดจาการรักษาศีล   การทำบุญด้วยการตั้งใจรักษาศึลก็ย่อมเกิดบุญกุศลขึ้นเช่นกัน ทุกครั้งที่ระลึกถึงศีลที่ตัวเองรักษาดีแล้วไม่ด่างพร้อย ก็สามารถอธิฐานส่งบุญได้ว่า "บุญที่ข้าพเจ้าได้รักษาศึลนี้จนถึง... "หรือในการทำดีทุกอย่าง เช่นแม่แต่การพูดให้เขาได้สติคิดดี ช่วยเหลือคน การได้ทำประโยชน์ส่วนรวม ย่อมก่อให้เกิดความปีติ ดีใจนั่นแหล่ะคือบุญ ให้รีบส่งบุญถึงผู้ที่เราต้องการให้บุญทันที



ขออนุโมทนา ที่มาข้อมูล หนังสือสร้างบุญ

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ประวัติเขาพระวิหารเสด็จพ่อศิวะ

ด้วยพระบารมีและพระเมตตาแห่งองค์เสด็จพ่อพระศิวะ และแรงอธิษฐานของพระเดชพระคุณพระอาจารย์ใหญ่เสกกวงเซง พระวิหารเสด็จพ่อพระศิวะจึงเกิดขึ้น ณ เลขที่ 141 หมู่ที่ 5 ซอยคู้บอน 27 แยก 27 (ซอยสยามธรณี) ถ.คู้บอน (ถ.รามอินทรา71 กม.8) แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพฯ

พระวิหารแห่งองค์พระมหาศิวะเทพแห่งนี้ได้ก่อสร้างขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2546 โดยมีเนื้อที่ทั้งสิ้นกว่า 40 ไร่ เป็นที่ประดิษฐานเทวรูปองค์พระมหาศิวะเทพ ซึ่งมีขนาดหน้าตักกว้าง 9.99 เมตร และมีความสูง 16 เมตร อีกทั้งยังเป็นที่ประดิษฐานเหล่ามหาเทพ และเทพพรหมต่าง ๆ มากมาย

นอกเหนือจากพระวิหารหลัก ซึ่งเปิดให้สาธุชนผู้มาเยือนทุกท่านได้สักการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ แล้ว ด้านหน้าของพระวิหารยังเป็นที่ประดิษฐาน “สระน้ำศักดิ์สิทธิ์” ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการตกแต่ง สระน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มีขนาดกว้าง 9 เมตร ยาว 44 เมตร และลึก 1.50 เมตร เมื่อแล้วเสร็จ สระน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้จะบรรจุน้ำจากากสถานที่สำคัญ 3 แห่งของประเทศอินเดีย คือ น้ำจากเขาไกรลาศ, จากสุวรรณวิหาร เมืองอมฤตสา และจากแม่น้ำคงคา เมืองพาราณสี

บริเวณที่ดินด้านหลังของพระวิหาร พระเดชพระคุณพระอาจารย์ใหญ่เสกกวงเซงมีดำริที่จะสร้าง “เขาวิเศษ” แห่งองค์เสด็จพ่อพระศิวะ และเทวรูปพระโพธิสัตว์กวนอิมปางสมาธิ หน้าตักกว้าง 18 เมตร สูง 21 เมตร นับว่าสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้จะเป็นศูนย์รวมแห่งศรัทธาของผู้คนทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา จากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งตรงกับปณิธานของพระเดชพระคุณพระอาจารย์ใหญ่เสกกวงเซงที่ท่านต้องการสร้างปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ในประเทศไทยเพื่อให้คนทั่วโลกได้เข้ามากราบไหว้ ซึ่งเป็นการรักษาวัฒนธรรมของความเป็นเมืองพุทธให้คงอยู่กับประเทศไทยอย่างยั่งยืน

หลายต่อหลายท่านอาจสงสัยเหมือนกับที่หลาย ๆ คนเคยถามพระเดชพระคุณพระอาจารย์ใหญ่ว่า ทำไมท่านจึงสร้างพระฮินดู (เสด็จพ่อพระศิวะ) ในขณะที่ท่านเป็นพระภิกษุณีในพุทธศาสนา

พระเดชพระคุณพระอาจารย์ใหญ่จึงกล่าวตอบว่า ท่านเคารพและสรรเสริญพระศาสดาของทุก ๆ ศาสนา เพราะทุกศาสนาต่างสอนให้คนเป็นคนดี ให้เป็นคนมีความรัก ความเมตตา ต่อพี่น้องร่วมโลกเดียวกัน แท้ที่จริงแล้วเราคือหนึ่งเดียวกัน (ด้วยหลักการคิดเช่นนี้ พระเดชพระคุณพระอาจารย์ใหญ่จึงให้มีสัญลักษณ์เลข 1 ตามที่ต่าง ๆ ในสถานปฏิบัติธรรมที่ท่านสร้าง เพื่อเตือนสติผู้มาเยือนว่า “เราทุกคนคือหนึ่งเดียวกัน”)

หากจะถามว่าทำไมท่านสร้างพระอินเดีย ท่านจึงถามกลับไปยังผู้ถามว่า เราชาวพุทธเคารพบูชาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างสูงสุด แล้วพระองค์ไม่ใช่คนอินเดียหรือ? ท่านกล่าวอีกว่า ไม่ว่าจะคนไทย คนอินเดีย หรือคนเชื้อชาติไหน เราก็คือพี่น้องกันทั้งสิ้น คนเราไม่สามารถเลือกว่าจะเกิดเป็นคนชาติใด ภาษาใด ได้ แต่เราเลือกที่จะทำดีร่วมกันได้ ต่างคนต่างเชื้อชาติต่างภาษาย่อมมีเอกลักษณ์ มีส่วนดี ๆ ในแต่ละบุคคล เราจึงควรมารวมกัน นำสิ่งดี ๆ ของแต่ละบุคคลมาพิจารณา ประยุกต์ ปฏิบัติ เพื่อให้สังคม และประเทศชาติของเราเจริญรุ่งเรือง

ท่านเปรียบพระวิหารเสด็จพ่อพระศิวะแห่งนี้เสมือนบ้านพ่อ และเปรียบพระตำหนักพระแม่กวนอิม โชคชัย 4 เสมือนบ้านแม่ ท่านต้องการให้สถานปฏิบัติธรรมที่ท่านสร้างเป็นสถานที่ที่ทุกคนมาแล้วมีความสุข ได้รับความอบอุ่น เหมือนได้กลับมาสู่อ้อมอกของพ่อและแม่ โดยไม่แบ่งแยกชนชั้น เชื้อชาติ ศาสนา

พระเดชพระคุณพระอาจารย์ใหญ่ยังชี้แนะต่อว่า คนไทยบูชา “เจ้าพ่อหลักเมือง” ซึ่งมีเสาหลักเมืองเป็นสัญลักษณ์ คนจีนบูชา “ทีตี่แป่บ้อ” (เทพแห่งฟ้าดิน) ซึ่งมีเสาพันด้วยมังกรเป็นสัญลักษณ์ ส่วนคนอินเดียบูชา “พระมหาศิวะเทพ” ซึ่งมีศิวะลึงค์ เป็นสัญลักษณ์ หากพิจารณาให้ถ่องแท้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราบูชาก็คือ เสด็จพ่อ พระศิวะองค์เดียวกันนั่นเอง เช่นเดียวกับองค์พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ (อวโลกิเตศวร) พันเนตรพันกร ที่ชาวพุทธทั่วโลกนับถือบูชา เมื่อคนฮินดูเห็นรูปของพระองค์ เขาก็บอกว่า นี่คือองค์แม่ทุรคา


เมื่อพิจารณาแล้วสิ่งที่ต่างกันก็เป็นแค่คำนิยามที่มนุษย์เรียกขานแตกต่างกันไปเท่านั้น
เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ถึงแม้พระวิหารยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ และยังไม่ได้ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ ศาสนสถานแห่งนี้ก็ได้มีโอกาสต้อนรับสาธุชนทั้งในและนานาประเทศมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอินเดียที่หลั่งไหลมานับร้อยนับพัน เพื่อมาสักการบูชาขอพร ณ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ทุก ๆ คนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สถานที่แห่งนี้ไม่เป็นเพียงสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่ยังเป็นศาสนสถานอันงดงาม ยิ่งใหญ่ และอบอุ่น ซึ่งความเมตตา และอบอุ่นนี่เองเป็นสิ่งที่พระเดชพระคุณพระอาจารย์ใหญ่เสกกวงเซงมอบให้แก่
ทุก ๆ คน จนกระทั่งชาวอินเดียต่างยกย่องท่านเสมือนแม่ จึงเรียกท่านว่า “มาตาจี” ซึ่งมีความหมายว่า “ท่านแม่”

พระวิหารเสด็จพ่อพระศิวะแห่งนี้ที่ใครต่อใครเปรียบที่แห่งนี้ว่าคือบ้านพ่อยินดีต้อนรับสาธุชนทุกท่านจากทั่วทุกมุมโลก ผู้แสวงหาที่พึ่งทางใจ และต้องการปฏิบัติธรรมเพื่อสะสมคุณงามความดี สร้างสมบุญบารมี นำพาตนเองสู่ความสงบสุข และที่สุดนำมาซึ่งสันติสุขสู่สังคมอย่างถาวร


* ข้อมูลมาจากเว็ปพระตำหนักพระแม่กวนอิมโชคชัยสี่

ประวัติพระมหาเจดีย์พระพุทธเจ้าหนึ่งหมื่นพระองค์

                            พระมหาเจดีย์พระพุทธเจ้าหนึ่งหมื่นพระองค์


ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล ในขณะที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศนาธรรม

ท่ามกลางพุทธบริษัทสี่จำนวนมากอยู่นั้น พระองค์ทรงตรัสว่า “วันนี้พวกเราโชคดี

ที่ได้มีพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ (พระแม่กวนอิม) เสด็จมาร่วมฟังธรรมด้วย”

เมื่อนั้นพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ก็ทรงเปล่งรัศมีสว่างไสวไปทั่วทั้งทศทิศ

สมณสงฆ์พร้อมสาธุชนซึ่งมาร่วมฟัง พระธรรมเทศนาแห่งพระบรมศาสดา

จึงเห็นพระรัศมีแห่งพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ เสมือนพระองค์มีพันกร

พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ทรงเปล่งวาจา ขอให้พระพุทธศาสนายั่งยืนเป็น

หมื่นปี โดยพระองค์จะสร้างพระมหาเจดีย์พระพุทธเจ้าหนึ่งหมื่นพระองค์ถวายเป็น

พุทธบูชาธรรมบูชา แด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ด้วยเหตุดังกล่าวประกอบกับปณิธานของ พระเดชพระคุณพระอาจารย์ใหญ่

เสกกวงเซง ที่ต้องการเทิดทูน สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และ

ต้องการสนองเบื้องพระยุคลบาทในพระมหากรุณาธิคุณ แห่งพระบาทสมเด็จ

พระเจ้าอยู่หัวผู้ซึ่งเปี่ยมไปด้วยพระมหาเมตตา พระบารมีมากล้นรำพัน ท่านจึง

มีดำริสร้างพระมหาเจดีย์พระพุทธเจ้าหนึ่งหมื่นพระองค์บนที่ดิน ฝั่งตรงข้าม

พระตำหนักพระแม่กวนอิม โชคชัย 4 ในปี พ.ศ. 2529 เพื่อเป็นศาสนสถาน

อันศักดิ์สิทธิ์ถวายแด่พระพุทธองค์บนผืนแผ่นดินไทย ให้ทั่วโลกเดินทาง

มากราบไว้

ถึงแม้ว่าพระเดชพระคุณพระอาจารย์ใหญ่เมี่ยวซ่านจะให้ท่านสร้างพระมหาเจดีย์

พระพุทธเจ้าหนึ่งหมื่นพระองค์ที่เมืองจีนก็ตาม พระเดชพระคุณพระอาจารย์ใหญ่

เสกกวงเซงเคยกล่าวไว้ว่า คนจีนหลายต่อหลายคน บอกว่า...............ท่านคือคนจีน

คือลูกหลานจีน ท่านไม่อาจปฏิเสธได้ว่าท่านมี เชื้อสายจีน แต่หากว่าท่านเกิด

เมืองไทย ท่านคือคนไทย ท่านโชคดีเหลือเกินที่ ท่านเกิดมาบนผืนแผ่นดินไทย

ที่ซึ่งมีพระมหากษัตริย์ผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตา

ฉะนั้นพระมหาเจดีย์พระพุทธเจ้าหนึ่งหมื่นพระองค์ ต้องเกิดขึ้นที่นี่ ชีวิตนี้ท่านดีใจ

ที่ได้เกิดมารับใช้พระพุทธศาสนา ได้มาสร้างประโยชน์ให้แก่พระศาสนา ซึ่งได้สร้าง

ความภาคภูมิใจกว่าการมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย ชีวิตนี้ท่านขออุทิศให้แก่

พระพุทธศาสนาเพื่อให้คนรุ่นหลังได้กราบไหว้บูชา

สำหรับการก่อสร้างพระมหาเจดีย์พระพุทธเจ้าหนึ่งหมื่นพระองค์ ได้มีการวางศิลาฤกษ์

ในวันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2531 หลังจากที่ได้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์แล้ว

การก่อสร้างได้ดำเนินไปตามขั้นตอน โดยมีพระเดชพระคุณพระอาจารย์เสริมศักดิ์

อธิปัญโญ ได้กรุณามาช่วยดูแลการก่อสร้างอย่างใกล้ชิด อีกทั้งนักบวชมหายานทุกรูป

นำโดยพระเดชพระคุณพระอาจารย์ใหญ่เสกกวงเซง และคณะกรรมการมูลนิธิศิษย์

พระแม่กวนอิม รวมถึงสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาอีกหลายท่านร่วมกันลงมือ ลงแรง ร่วมใจ

กันก่อสร้างพระมหาเจดีย์แห่งนี้ จนถึงขั้นตอนของการขุดหน้าดิน เพื่อที่จะทำฐานรากและชั้นใต้ดินของ

องค์พระมหาเจดีย์ฯ

ได้มีสิ่งอัศจรรย์เกิดขึ้นคือ การขุดดินจากผิวดิน

ลึกลงไปถึง 8 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 50 เมตร แต่ไม่มีน้ำซึม

ออกมาจากใต้ดินเลยแม้แต่น้อย

ในขณะเดียวกันภายนอกบริเวณพระมหาเจดีย์ฯ ได้มีการขุดคลอง ลึกลงไปเพียง 2 เมตร
แต่กลับมีน้ำไหลออกมาจากชั้นใต้ดินเป็นจำนวนมาก และความอัศจรรย์ในครั้งนั้น จึงทำให้การก่อสร้างพระมหาเจดีย์ฯ ได้รับความสะดวกอย่างมาก เพราะไม่ต้องคอยสูบน้ำ ไม่ต้องใช้เครื่องมือกันดินไหล ทำให้ประหยัดเงินในการก่อสร้างได้อย่างมากตามปกติในการก่อสร้างอาคารสูงจะต้องใช้ทาวเวอร์เครนเพื่อลำเลียงสิ่งของวัสดุต่าง ๆ ในการก่อสร้าง แต่การก่อสร้างพระมหาเจดีย์พระพุทธเจ้าหนึ่งหมื่นพระองค์นี้ใช้ลิฟท์ต่อขึ้นไป ทีละชั้นสำหรับลำเลียงวัสดุก่อสร้างต่าง ๆ ยิ่งพระมหาเจดีย์ฯ สร้างสูงขึ้นเท่าไหร่ก็ต้องต่อลิฟท์สูงขึ้นเท่านั้น นับได้ว่าเป็นการ รวมพลังของกลุ่มคนอันใช้แรงกายแรงใจ ในการขนอิฐ ขนปูน ขนทราย กว่าจะได้ทีละชั้นต้องอดทนและใช้ความพยายามอย่างมาก

เป็นคติธรรมหนึ่งที่พระเดชพระคุณพระอาจารย์ใหญ่ ใช้สอนลูกหลานและลูกศิษย์ทั้งหลายว่า ตราบใดที่เรา มีความศรัทธา ความมุ่งมั่น และความสามัคคี เราจะสามารถเอาชนะทุกอุปสรรคที่กางกั้นและประสพความสำเร็จได้ในที่สุด ในทางกลับกันหากเราไม่มีความศรัทธา ความมุ่งมั่น ความสามัคคี ถึงแม้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะให้พรเราสักเพียงใด หนทางสู่ความสำเร็จนั้น มันก็ช่างดูเลือนราง

              จากเขตที่รกชัฏกลายเป็นที่ที่ราบเรียบ

         จากฝุ่นผงปูนทรายกลายเป็นซีเมนต์ที่แข็งแกร่ง
    
    จากอิฐแต่ละก้อนกลายเป็นกำแพงที่มั่นคงมหึมา

  จากหลายร้อยดวงใจกลายเป็นพระมหาเจดีย์ฯ อันศักดิ์สิทธิ์

ในที่สุด การก่อสร้างพระมหาเจดีย์พระพุทธเจ้าหนึ่งหมื่นพระองค์ก็เสร็จสมบูรณ์

งดงาม จากผืนดินว่างเปล่ากลายมาเป็นพระมหาเจดีย์ฯ อันศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่

ประดิษฐานพระพุทธเจ้าหนึ่งหมื่นพระองค์ และพระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์

(อวโลกิเตศวร) พันกรพันเนตร สูง 8.30 เมตร แกะสลักด้วยไม้จันทน์หอมจาก

ประเทศจีนปิดด้วยทองคำแท้ มีพระพักตร์ 20 พระพักตร์ จำนวน 4 องค์ นอกจาก

นี้ โดยรอบพระมหาเจดีย์ฯ ยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป และเทวรูปพระโพธิสัตว์

เทพ เซียนต่าง ๆ แกะสลักจากหินหยกขาวจากประเทศจีนมากกว่า 300 องค์

พระมหาเจดีย์ฯ แห่งนี้ยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธบริษัท และมหาชนจากทั่วทุก

สารทิศที่มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาในองค์พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์

(อวโลกิเตศวร)

กล่าวได้ว่าอิฐทุกก้อน ส่วนประกอบทุกส่วนล้วนหล่อหลอมมาจากความมุ่งมั่น

อันแรงกล้าของพระเดชพระคุณพระอาจารย์ใหญ่ เสกกวงเซง พร้อมด้วย

นักบวชทุกรูป และบรรดาศิษยานุศิษย์จากทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ได้ตั้งใจสร้างถวายไว้เป็นพุทธบูชาแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเป็นสมบัติ

อันประเสริฐในพระพุทธศาสนา นอกจากนี้ ปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ยัง

เป็นสถานที่บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ต่อสังคมนานับประการอีกด้วย

พระมหาเจดีย์พระพุทธเจ้าหนึ่งหมื่นพระองค์แห่งนี้ได้ทำการฉลองเปิด

องค์พระมหาเจดีย์ไปเมื่อวันที่ 4 – 15 ธันวาคม พ.ศ. 2543 และจะทำการ

สมโภชพระมหาเจดีย์ ในวันที่ 9 – 29 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ในช่วงเวลา

ทั้งสิ้น 21 วันนี้จะมีการเจริญพระพุทธมนต์ และบำเพ็ญกุศลถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์ทุกวัน วันละ 1,000 รูป (รวม 21,000 รูป) และเปิดพระมหาเจดีย์ฯ ทั้ง 21 ชั้นรวมทั้งชั้นใต้ดิน ให้สาธุชนผู้มีจิตศรัทธาทุกท่านได้เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเข้าชม

อนึ่ง ในพิธีสมโภชพระมหาเจดีย์ฯ ในครั้งนี้ คณะกรรมการผู้จัดงาน ได้รับพระกรุณาธิคุณจาก

ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี
เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีสมโภชพระมหาเจดีย์
ในวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552 เวลา 16:00 น.
ซึ่งนำความปราบปลื้มมาสู่ คณะกรรมการผู้จัดงาน คณะศิษย์พระแม่กวนอิมตลอดจน
ประชาชนบริเวณใกล้เคียงเป็นล้นพ้น


*คัดข้อมูลมาจากเว็ปของพระตำหนักพระแม่กวนอิมโชคชัยสี่

ไหว้พระ ๙ วัด เพื่อความเป็นสิริมงคล

1. ศาลหลักเมือง กรุงเทพมหานคร
(เวลาเปิด-ปิด 05.30 - 19.30 น.)

คติ " ตัดเคราะห์ ต่อชะตา"
กิจกรรม สักการะหลักเมือง ไหว้พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง เจ้าพ่อเจตคุปต์ พระเทพไชยศรี เจ้าพ่อหอกลอง ประกอบพิธีสะเดาะเคราะห์ ตามธรรมเนียมเพื่อความเป็นสิริมงคล " ไหว้หลักเมือง ตัดเคราะห์ ต่อชะตา เสริมวาสนาบารมี "

สถานที่ตั้ง อยู่บริเวณหัวมุมสวนหลวง ข้างพระบรมมหาราชวัง ถนนหลักเมือง แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร

2. วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
(เวลาเปิด-ปิด 08.30 - 16.00 น.)

คติ "แก้วแหวนเงินทองไหลมา"
กิจกรรม ไหว้พระแก้วมรกต พระพุทธรูปสำคัญในภูมิภาคเอเชีย เป็นศูนย์กลางความศรัทธาไทย - ลาว เพื่อความเป็นสิริมงคล " ไหว้พระแก้วมรกต แก้วแหวน เงินทองไหลมาเทมาตลอดปี "
สถานที่ตั้ง อยู่ในพระบรมมหาราชวัง ถนนหน้าพระลาน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร

3. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)
(เวลาเปิด-ปิด 08.00 - 16.00 น.)

คติ "ร่มเย็นเป็นสุข"
กิจกรรม นมัสการพระพุทธไสยาสน์อันศักดิ์สิทธิ์ (ที่ฝ่าพระบาททั้งสองข้างประดับมุก ลวดลายภาพมงคล108 ประการ) เพื่อความเป็นสิริมงคล " ไหว้พระนอนวัดโพธิ์ อยู่ดีกินดีตลอดปี "
สถานที่ตั้ง หลังพระบรมมหาราชวัง ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร

4. ศาลเจ้าพ่อเสือ
(เวลาเปิด-ปิด 08.00 - 16.00 น.)

คติ "มีอำนาจบารมี"
กิจกรรม ไหว้ศาลเจ้าพ่อเสือ "ศาลเจ้าเก่าแก่ของลัทธิเต๋า" หนึ่งในสามมหาสถานของพระนครที่ชาวจีนต้องสักการะบูชา เพื่อความเป็นสิริมงคล " เสริมอำนาจบารมี "
สถานที่ตั้ง ถนนตะนาว แขวงเจ้าพ่อเสือ เขตพระนคร

5. วัดสุทัศนเทพวราราม
(เวลาเปิด-ปิด 08.00 - 16.00 น.)

คติ "มีวิสัยทัศน์ที่ดี"
กิจกรรม ไหว้พระองค์ประธาน (พระศรีศากยมุณี) ที่เก่าแก่ ซึ่งอดีตเคยประดิษฐานอยู่ที่วิหารหลวงวัด
ของกรุงสุโขทัย เพื่อความเป็นสิริมงคล "ไหว้พระวัดสุทัศนฯ มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีเสน่ห์แก่บุคคลทั่วไป" สถานที่ตั้ง บริเวณเสาชิงช้า ตรงข้ามศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร

6. วัดชนะสงคราม
(เวลาเปิด-ปิด 08.00 - 16.00 น.)

คติ "มีชัยชนะต่ออุปสรรคทั้งปวง"
กิจกรรม ไหว้พระประธานในโบสถ์และรูปเคารพสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (บุญมา) ผู้นับถือ ความซื่อสัตย์ เพื่อความเป็นสิริมงคล "ไหว้พระวัดชนะสงคราม อุปสรรคร้ายพ่ายแพ้"
สถานที่ตั้ง ถนนจักรพงษ์ แขวงบางลำพู เขตพระนคร

7. วัดระฆังโฆษิตาราม
(เวลาเปิด-ปิด 08.00 - 16.00 น.)

คติ "มีคนนิยมชมชื่น"
กิจกรรม สักการะสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) และพระประธานที่วัดระฆัง อ่านคาถาชินบัญชร เพื่อ ความ เป็นสิริมงคล " ไหว้พระวัดระฆัง มีชื่อเสียงโด่งดังตลอดปี "
สถานที่ตั้ง ถนนอรุณอัมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย

8. วัดอรุณราชวราราม
(เวลาเปิด-ปิด 08.00 - 16.00 น.)

คติ "ชีวิตรุ่งโรจน์ทุกคืนวัน"
กิจกรรม ไหว้พระปรางค์วัดอรุณฯ เพื่อความเป็นสิริมงคล "ไหว้พระวัดอรุณ ชีวิตโรจน์รุ่ง ทุกวันคืน"
สถานที่ตั้ง ข้างกองทัพเรือ ถนนอรุณอัมรินทร์ เขตบางกอกใหญ่

9.   วัดกัลยาณมิตร
     (เวลาเปิด-ปิด 08.00 - 16.00 น.)
    
   คติ "เดินทางปลอดภัย"
   กิจกรรม ไหว้หลวงพ่อซำปอกง (พระพุทธไตรรัตนนายก) พระโตริมน้ำตามตำนาน กรุงศรีอยุธยา ณ  
  วัดกัลยาณมิตร เพื่อความเป็นสิริมงคล "ไหว้หลวงพ่อซำปอกง โชคดีมีชัยปลอดภัยตลอดปี"
  สถานที่ตั้ง แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรีลงเรือข้ามฟากที่ท่าปากคลองตลาดขึ้นท่าวัดกัลยาณมิตร


                                      เกร็ดเสริม เที่ยวสิริมงคลไหว้พระ 9 วัด



เป็นเรื่องที่นิยมมาตลอดกับการไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นสิริมงคลกับตัวเอง ทัวร์ "ไหว้พระ 9 วัด" กลายเป็น "มงคล" ยอดฮิตที่คนไทยและต่างชาติกำลังให้ความสนใจ
วัดทั้ง 9 ที่ว่ามี วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร, ศาลหลักเมือง, วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว), วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์), วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร, ศาลเจ้าพ่อเสือ, วัดระฆังโฆษิตารามวรมหาวิหาร, วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร (วัดแจ้ง), วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร
บางคนเคร่งครัดจัดถึงขนาดที่จะต้องไปสักการะให้ครบทั้ง 9 แห่งในวันเดียว !!! ความฮิตดังว่าทำให้การททท.หยิบ "ทัวร์มงคล" นี้ใส่ในโปรเจ็กต์ดึงดูดนักท่องเที่ยวเพื่อให้หันมาสนใจท่องเที่ยวบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์กันมากขึ้น และเพื่อเป็นการดึงดูดใจเป็นทวีคูณ ททท. เหน็บเกร็ดความรู้ ความเชื่อและวิธีการสักการะแต่ละแห่งเพื่อเสริมความมงคลกันอย่างสูงสุด

วัดชนะสงคราม ต้องไปสักการะ "พระประธาน" ในพระอุโบสถ และ "สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท" ด้วย ธูป 5 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกบัว 1 ดอก มีความเชื่อว่า "จะมีชัยชนะต่ออุปสรรคทั้งปวง"

ศาลหลักเมือง ไปสักการะ "เทพารักษ์ทั้ง 5" คือ พระเสื้อเมือง, พระทรงเมือง, พระกาฬไชยศรี, เจ้าพ่อเจตคุปต์, เจ้าพ่อหอกลอง เพื่อ "ตัดเคราะห์ ต่อชะตา เสริมวาสนาบารมี" ไหว้ เสาหลักเมืององค์จำลอง ด้วยธูป 3 ดอก เทียน 1 เล่ม ผ้าแพร 3 สี ดอกบัว และไหว้องค์จริงด้วยพวงมาลัย


วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ไปที่นี่ต้องไปไหว้ "พระแก้วมรกต" ด้วยธูป เทียน ดอกบัวคู่ เพื่อ "แก้วแหวนเงินทองไหลมาเทมา"


วัดพระเชตุพนฯ ต้องไปไหว้ "พระพุทธไสยาสน์" เพื่อ "ความสงบสุขร่มเย็น" ด้วยธูป 9 ดอก เทียนแดงคู่ ทองคำเปลว 11 แผ่น


วัดสุทัศน์ฯ เพื่อ "วิสัยทัศน์กว้างไกล มีเสน่ห์แก่คนทั่วไป" ต้องไปสักการะ "พระศรีศากยมุนี" ด้วยธูป 3 ดอก เทียน 2 เล่ม ดอกบัวหรือพวงมาลัย


ศาลเจ้าพ่อเสือ ไปสักการะ เจ้าพ่อเสือ เจ้าพ่อกวนอู เจ้าแม่ทับทิม ฯลฯ เพื่อเสริม "อำนาจบารมี" ด้วยธูป 18 ดอก ปัก 6 กระถาง เทียนแดง 1 คู่ พวงมาลัย 1 พวง


วัดระฆังฯ ต้องไปสักการะ "สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โตพรหมรังสี) ด้วยธูป) 3 ดอก เทียนคู่ ทองคำเปลว 3 แผ่น หมากพลู และภาวนาด้วยคาถาชินบัญชร เพื่อ "ความนิยมชมชื่น มีชื่อเสียงโด่งดัง"


วัดอรุณฯ ต้องไปสักการะ "พระประธาน" ด้วยธูป 3 ดอก เทียนคู่ และต้องไปเดินทักษิณาวัตรรอบ "พระปรางค์" อีก 3 รอบ เพื่อ "ชีวิตรุ่งโรจน์"


วัดกัลยาณมิตรฯ ไหว้ "พระประธานหรือหลวงพ่อซำปอกง" ด้วยธูป 3 ดอก เทียนแดงคู่ เพื่อ "ความสวัสดีมีชัย เดินทางปลอดภัย"


การได้ไปนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนั้นไม่จำเป็นต้องไปในวันพิเศษทางศาสนาเท่านั้น หากสามารถไปนมัสการได้ทุกเมื่อ ซึ่งการไปนมัสการนี้ ไม่เพียงจะก่อให้เกิดความสบายใจเท่านั้น หากยังเป็นกุศโลบายที่สร้างความเชื่อมั่นในการพาชีวิตก้าวเดินต่อไปในอนาคต ด้วยสัญญาใจที่ให้ไว้กับตัวเอง และถ้าไม่มุ่งมั่นในโกย "มงคล" เกินไป เวลานั้นน่าจะเป็นเวลาทองที่ได้ซึมซับความสงบสุข ความศรัทธาอันยิ่งใหญ่ของบรรพบุรุษไทยได้อีกด้วย









วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ผู้หญิงอินเทรนด์กับธรรม

             ผู้หญิงสมัยใหม่ในยุคนี้สนใจธรรมะกันมากขึ้น เนื่องด้วยหลายเหตุปัจจัยเช่น จากสภาวะความเครียด ความผิดหวัง ความเบื่อหน่ายกับชีวิต ฯลฯ หรือบางคนต้องการสร้างบุญบารมีและต้องการหาความสงบสุขให้กับตัวเอง และบางคนต้องการค้นหาความหมายของชีวิต บางคนเห็นเพื่อนไปก็อยากไปบ้าง แต่ส่วนมากแล้วมาปฏิบัติธรรมเพื่อให้ชีวิตมีแต่สิ่งดีๆเข้ามา คนส่วนมากมักคิดว่าการปฏิบัติธรรมต้องไปเข้าวัด นั่งสมาธิและเดินจงกลม ซี่งจริงๆแล้ว มันเป็นแค่ส่วนหนึ่ง ที่ทำให้เกิดสมาธิได้ง่ายขึ้น ธรรมะนั้นก็เหมือนธรรมชาติ ไม่มีอะไรที่ตายตัว ขึ้นอยู่กับวิธีที่ปฏิบัติ แต่จะปฏิบัติแบบไหนนั้นก็ต้องศึกษากันไปในแต่ละสถานที่ปฏิบัติธรรมนั้นๆ แต่ละที่ก็มีวิธีและรูปแบบที่ยากง่ายต่างกันไป เคยเข้าใจผิดว่าการมาปฏิบัติธรรม แค่นั่งสมาธิและเดินจงกลมเท่านั้น ซึ่งจริงๆแล้วเคยได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่งที่เกาะสีชัง จนได้รู้และเข้าใจว่า การปฏิบัติธรรมไม่จำเป็นต้องต้องเดินหรือนั่งทำเท่านั้น แต่ทุกอย่างที่เราทำคือการปฏิบัติได้ทุกขณะ และทุกกิจกรรมที่เราทำ ไม่ว่าจะเป็นล้างจาน เดิน นั่งนอน อาบน้ำ กินข้าว กวาดวัด รดน้ำผักสวนครัว หรือในชีวิตการทำงานของเรา ฯลฯก็ทำให้เราเกิดสมาธิได้ ถ้าเราตามกำหนดรู้เท่าทันมัน

                              
           เคยถามตัวเองมั้ยว่าเราอยากมาปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร แล้วเราจะได้อะไรจากสิ่งนี้ เราได้เรียนรู้อะไร หรือมีพัฒนาการที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ คนบางคนก็ไม่สามารถตอบได้เลย แค่รู้ว่าอยากมาปฏิบัติธรรมเท่านั้น คนที่จะมาปฏิบัติธรรมจริงๆ ต้องตอบคำถามเหล่านี้ได้ จึงจะเกิดประโยชน์กับตนเองและจะได้มีเป้าหมายที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

          สำหรับผู้หญิงอินเทรนดในปัจจุบัน หันหน้าเข้าวัดกันเยอะ เพราะสังคมทุกวันนี้ดูจะสับสนและวุ่นวายกันมาก ทั้งผู้คนและเทคโนโลยีก็แทรกซึมเข้ามาในชีวิตประจำวัน ทำให้จิตใจของคนเราเต็มไปด้วยความเครียด ความว้าวุ่น และมีผู้หญิงบางกลุ่ม ก็มักจะติดเฟส เล่นไฮ บ้าผู้ชาย ติด บีบี ดื่มสังสรรค์ไปวันๆ จนลืมผู้คนที่อยู่รอบข้างว่า เป็นคนที่มีเนื้อมีจิตใจและมีความรู้สึกเหมือนกัน และก็มักจะลืมแคร์ความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่งโดยไม่รู้ตัว อาจจะก่อให้เกิดปัญหาอื่นตามมาทีหลังได้ เทคโนโลยีสมัยนี้ก็ทำให้เราคุยกับตัวเราเองน้อยลง เข้าใจตัวเราเองก็น้อยลงไปด้วย ยิ่งติดเทคโนโลยีมากก็ยิ่งเลิกยากและอาจทำให้เป็นคนที่ไร้ความรู้สึกไปเลย ส่วนผู้หญิงที่พอจะมีสติก็ปลีกตัวเองออกจากสิ่งที่วุ่นวายเหล่านั้น หันมา เข้าวัดนั่งสมาธิ ฟังธรรม หาความสงบสุขที่แท้จริงให้กับตัวเอง เป็นสิ่งที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ในสมัยนี้ได้ทำกันอยู่แล้ว ทั้งดารา นักร้อง หรือแม้แต่คนในวงการบันเทิง ก็เริ่มสนใจเข้าวัดกันมากขึ้นเช่นกัน และไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีผู้หญิงที่ยังเป็นวัยรุ่นก็มีอยู่เยอะ แต่ก็มีผู้หญิงอีกจำนวนมากที่ยังหาเวลาว่างไม่ได้ มักจะอ้างเรื่องงานเป็นซะส่วนใหญ่ ซึ่งจริงๆแล้วการเข้าวัดฟังธรรม ก็ใช้เวลาไม่มากนัก ถ้าเทียบกับการไปเดินช็อปปิ้ง ดูหนัง ออนเอ็ม เล่นไฮไฟว์ หรือเฟสบุ๊ค แต่นั่นก็คือข้ออ้าง ของคนที่ไม่อยากจะเข้าวัดจริงๆ อันนี้เราก็ไม่ว่ากัน ขึ้นอยู่กับบุคคลนั้นๆ ว่ามีความสนใจทางด้านนี้มากแค่ไหน ส่วนคนที่ต้องการหาสิ่งดีๆให้กับชีวิต จะหาหนทางพัฒนาตนเอง เพื่อพัฒนาจิต พัฒนาใจ ให้เป็นคนที่มีสติ มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น ไม่ทุกข์ไม่หลงและไม่ติดกับดัก กับสิ่งที่มาทำให้มัวเมาและลุ่มหลงได้

         ผู้หญิงที่ทันสมัยจริงๆ ต้องอัพเดทเรื่องธรรมตลอดเวลา เวลาที่เราเจอเรื่องที่ไม่สบายใจ หรือเป็นทุกข์กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราจะสามารถที่จะรับมือกับมันได้บ้าง เหมือนเราได้เตรียมตัวเตรียมใจ และรู้อยู่แล้วว่าความทุกข์เป็นยังไง แล้วจะรับมือกับมันแบบไหน นั่นคือสิ่งที่ผู้หญิงอย่างๆเราๆ ต้องฝึกกันให้มากๆ แม้ว่ามันจะยากแต่ก็ไม่ง่ายนักที่จะเริ่มต้นกัน อย่าอายที่จะเข้าวัด เพราะทีเข้าผับไม่เห็นจะอายตรงไหน ฉะนั้น สิ่งที่หนีไม่พ้นก็ต้องเรื่องเกี่ยวกับธรรมะ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ธรรมก็ทันสมัยตามกระแสของโลกได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีธรรมะอยู่ในใจ มักจะเข้าใจในธรรมชาติของสิ่งที่มากระทบ  เช่นรู้ว่าสุขและทุกข์เป็นเช่นไร ควรละหรือปล่อยมันยังไงไม่ให้เราเกิดความทุกข์ใจหรือลุ่มหลงไปกับมันได้   รู้จักควบคุมอารมณ์ให้ทันความรู้สึกนึกคิดว่าเราทำอะไรคิดอะไรอยู่  แค่นี้ก็พอจะจัดการกับสิ่งที่เรากลัดกลุ้มได้   ผู้หญิงแบบนี้จะเป็นคนที่มีจิตใจเมตตา มีคุณธรรม  มีสติ  เวลาเจอปัญหาก็สามารถแก้ปัญหาได้อย่างชาญฉลาดและสุขุม  ที่สำคัญจะเป็นผู้หญิงที่สวยมาจากข้างใน ใครได้อยู่ใกล้ๆ ก็มักจะอบอุ่นและทำให้ผู้คนรอบข้างมีความสุขไปด้วย เห็นมั้ยคะว่าผู้หญิงกับธรรมในสมัยนี้ มีดียังไง

ทำไมมีรักจึงมีทุกข์

             เมื่อมีความรักเข้ามาในชีวิต ก็อยากจะให้มีแต่สิ่งที่สวยงาม อยากให้มีแต่ความอบอุ่นและความสุขอยู่ตลอดเวลา ได้ใช้เวลาที่พิเศษร่วมกันกับคนที่เรารัก ได้ห่วงหาและอาทรณ์ซึ่งกันและกัน เป็นห่วงเป็นใยในยามที่อยู่ห่างไกล และเป็นที่ปรึกษาได้ทุกเรื่องเมื่อมีปัญหา และสามารถเป็นทุกอย่างในชีวิตของเราได้ เห็นมั้ยคะว่า คนเรามีแต่ความอยากและความต้องการ อยากได้อย่างนั้น อย่างนี้ อยากให้เป็นอย่างนั้น อย่างที่ต้องการ เมื่อเราได้สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดแล้ว ก็จะมีความสุขมากและอยากให้มันเป็นแบบนี้ไปตลอด แต่ความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ความรักมักมีอุปสรรค์เสมอ มันจะไม่ให้เรามีแต่ความสุขอย่างเดียว เมื่อไหร่ที่เรามีความสุขความทุกข์มันจะหาจังหวะเข้ามาทันที ทำให้เราต้องผิดหวังเสียใจโดยที่เรายังไม่ทันตั้งตัว ไม่มีใครอยากให้ความรักของเราเป็นทุกข์ แต่ก็ไม่สามารถบังคับมันได้ การที่เราได้รักใครสักคนหนึ่งมันก็มีความสุขมากพออยู่แล้ว แต่พอเราได้รักกันไปนานๆ มันก็อาจจะมีปัญหาเกิดขึ้น พอมีปัญหาเราก็ไม่สบายใจ แล้วก็คิดมากจนเป็นทุกข์ แต่สำหรับบางคน แค่รักกันได้ไม่นานก็เป็นทุกข์ ทั้งๆที่ก็ยังมีความสุขอยู่ แต่ความทุกข์มักจะเข้ามาเคลือบแคลงทุกขณะที่เรามีความสุข แต่ทุกข์มันเข้ามาได้ไม่นาน เพราะว่ายังมีความรักที่เข้มแข็งพอที่จะสามารถเอาชนะความทุกข์เล็กๆน้อยๆเหล่านั้นได้ เช่นปรับเปลี่ยนความเข้าใจหรือทัศนะคติใหม่ ให้เรารู้จักมองโลกในแง่ดี และก็ไม่กังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงหรือสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น และไม่เก็บเอาเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจมาคิดมาก ไม่เอาอารมณ์หึงและหวงมาทำให้เราต้องเสียใจ ดูเหมือนกับว่าเราต้องคอยสู้รบปรบมือ อยู่กับทุกข์ตลอดไป ทุกข์มันจะมาไม่ว่าวิธีใดก็วิธีหนึ่งที่ทำให้ต้องเสียใจ ร้องไห้และหลั่งน้ำตา หรือต้องทะเลาะกับคนรัก ทั้งที่เราก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น บางครั้งแค่ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ดีผุดขึ้นมาในความคิด ก็เป็นทุกข์แล้ว ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น คงจะเป็นเพราะว่า รักมากจึงหวง และห่วงมาก จนเกิดอาการระแวงขึ้นมา ถ้าต่างคนต่างเข้าใจผิดซึ่งกันและกัน หรือมีความรู้สึกน้อยใจอีกฝ่ายหนึ่งอาจจะด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง หรือบางครั้งก็ไม่มีสาเหตุเอาซะเลย นี่คงเป็นอารมณ์ที่สำคัญมากที่จะทำให้คนเราเลิกหรือทะเลาะกันก็ด้วยเหตุนี้ เป็นการจุดฉนวนทำให้เกิดทุกข์ขึ้นมาได้ง่าย โดยเฉพาะถ้าใครมาแย่งของๆเราอันเป็นที่รักแล้วหล่ะก็ จิตใจมันจะเร่าร้อนอยู่ไม่เป็นสุข ใจมันจะกระวนกระวาย เหมือนเอาเชื้อเพลิงมาสุมไฟให้ลุกลามมากขึ้น นั่นก็คือตัวเราทุกข์เอง บางครั้งเราก็เผาหัวใจตัวเราเองโดยไม่รู้ตัว เช่น เราคิดมากว่าจะมีใครมาแย่งคนรักของเราไป หรือระแวงว่าคนรักของเราจะแอบไปคบกับคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้น กลัวว่าคนรักของเราจะเปลี่ยนแปลงไป ไม่สนใจ การที่เราคิดแบบนี้มันเป็นทุกข์และก็เป็นการจุดไฟในหัวใจตัวเอง มันทรมานโดยที่ไม่ต้องมีใครมาทำให้เรารู้เช่นนั้น เราจะรู้สึกอึดอัดและอยากจะระเบิดความรู้สึกที่ไม่ดีนั้นออกมาอยู่เสมอ แต่ถ้าเราลองเปลี่ยนความคิดความรู้สึกไปในทางที่ดีที่สวยงาม ความรักของเราก็จะสดใสและยาวนานไปกับรักที่แสนจะอบอุ่นโรแมนติก


             เห็นมั้ยคะว่าทำไมเราจึงมีทุกข์เมื่อเรามีความรัก เพราะว่าเราคิดมาก คิดจนให้เกิดทุกข์ มันจึงเป็นทุกข์ และมันก็ยากด้วยที่จะขจัดความรู้สึกเช่นนั้นออกไป ถ้าเรายังอ่อนแอให้กับความรักที่มีแต่ความทุกข์อยู่แบบนี้ เราก็จะเจ็บปวดและทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มันยากเหลือเกินนะ ที่ไม่ให้ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นกับใจเราได้ คงต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจกับมันอีกเยอะจนกว่าเรารู้ทันมันและก็ไม่เอามันมาเก็บไว้ในในใจในความรู้สึก ถ้าเราคิดเช่นนั้นได้เราก็คงจะมีความสุขมากกับคนที่เรารักโดยที่เรามีปัญหาน้อยที่สุด และความทุกข์จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาให้กับหัวใจ ถ้าความรักนั้นคือการเรียนรู้ การเข้าใจ การเสียสละ การยอมรับ การเห็นใจ และการแบ่งปันสิ่งดีๆให้กัน โดยที่เราไม่คาดหวังอะไรจากมันกลับคืนมา

วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ความทุกข์ กับ ธรรมะ

              คนเรามักไม่รู้ตัวว่าความทุกข์มันจะมาเมื่อไหร่ บางทีมันก็มาแค่ไม่กี่นาที บางที ก็เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี หรือหลายปี ความทุกข์ที่พูดมา มันเป็นเพราะเราเก็บมันไว้นาน ยิ่งเราเก็บมันไว้มากทุกข์ก็มาก ถ้าเราปล่อยมันเร็วก็ทุกข์น้อยลง คนที่มีสติมักจะทุกข์น้อยกว่า เพราะเขาเหล่านั้นได้เรียนรู้แล้ว่า ทุกข์มาเดี๋ยวมันก็ไป และมันก็ยังวนเวียนอยู่แบบนี้อย่างไม่จบไม่สิ้น แค่เราไม่ตามอารมณ์ความรู้สึกนั้น เราก็สบายใจ แต่เมื่อไรที่ตามอารมณ์แห่งทุกข์นั้นก็ยากที่หลุดออกมาได้ คงต้องใช้ทั้งเวลา และสติ กว่าจะรู้สึกตัว หรือไม่ก็มีคนคอยให้สติแก่เรา ความทุกข์ก็เกิดจากหลายปัจจัยตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ทรงตรัสไว้ ซี่งเนื้อหาตรงนี้เราจะไม่พูดถึงมาก แค่พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คงพอแล้ว อะไรที่ไม่เป็นที่พอใจหรือสมหวังในสิ่งที่เราคิด หรือการที่เราผิดหวังกับสิ่งที่เรารัก ไม่ว่าจะเป็นตัวบุคคล หรือสิ่งของเครื่องใช้ และก็สิ่งที่เราปรารถนาอยากจะได้มาแต่เรากับไม่ได้ ก็ดูเหมือนว่าจะทุกข์ไปซะทุกอย่าง แค่เรามีความรู้สึกโกรธ หึง หวง อิจฉา หรือแม้แต่เสียใจ ก็ทุกข์อีก เห็นมั้ยว่า ทุกข์มันมาได้ตลอดเวลา แค่เสี้ยววินาทีมันก็มาโดยที่เรายังไม่ทันได้ตั้งตัว เช่น คุยกันอยู่ดีๆ กลับต้องทะเลากัน หรือไม่ก็เข้าใจผิดกัน หรือบางคนแค่เดินผ่านกันก็เกิดอาการหมั่นไส้อีกคนขึ้นมา และบางทีเห็นหน้าเกิดความไม่ชอบ ทั้งๆที่เราก็ไม่รู้สาเหตุ เห็นมั้ยคะว่า ทุกข์มันเกิดได้ตลอด และอะไรที่จะทำให้เราไม่ทุกข์ หรือทำให้ทุกข์น้อยลง นั่นก็คือ ธรรมะ



          คนที่มีธรรมะอยู่ในใจก็พอที่จะรับมือกับทุกข์ได้ จะมากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับปัญญาของแต่ละบุคคล ปัญญาในที่นี้คือ การพิจารณาที่ไปที่มาเหตุแห่งทุกข์นั้น และก็ปล่อยวางกับทุกข์ที่เกิดขึ้นได้ สำหรับคนที่ยังไม่เคยได้ศึกษาหรือได้เรียนได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับธรรมะ มักจะยังมองไม่ออกว่าจะไม่ให้มันทุกข์ได้อย่างไร จริงๆแล้วความทุกข์เราห้ามมันไม่ได้ แต่เราสามารถที่จะทำให้มันทุกข์น้อยลงมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จนเราไม่ทุกข์กับมันได้เลย พอทุกข์นี้หมด ทุกข์ใหม่ก็เข้ามา ลองสังเกตุดูมันดีๆจะเห็นเลยว่า เมื่อไรที่เราไม่มีความสุข เรามีแต่อารมณ์ผิดหวัง เศร้าโศก เสียใจ คิดมาก ร้องไห้ เครียด โกรธ ฯลฯ พอความรู้สึกนี้หมดไป ความสุขก็จะเข้ามา พอสุขได้ไม่เท่าไหร่ เดี๋ยวก็ทุกข์มารอจ่อคิวรอ ทันที เห็นมั้ยว่า มันแทบจะเป็นวงกลมหมือนเข็มนาฬิกาเลย ไม่รู้ว่าทุกข์มันจะรออยู่ที่ วินาทีใด นาทีใด ชั่วโมงใด ของเข็มนาฬิกาชีวิตนี้


       ฉะนั้น ถ้าเรามีธรรมะสอนใจเราอยู่ตลอดเวลา เท่ากับว่าเรามีภูมิคุ้มกันทุกข์ที่จะเกิดขึ้นได้ ข้อธรรมะมีหลายอย่าง จะยกตัวอย่างที่ ง่ายแต่อาจจะไม่ง่ายที่จะทำต้องอาศัยเวลาและเรียนรู้กับมัน ทุกข์มักจะมากับความคิด และความคิดนี่แหล่ะตัวสำคัญที่ทำให้เราเกิดความทุกข์มาก ถ้าเราไม่คิดถามว่า เราจะทุกข์มั้ย ? แน่นอนว่าไม่ทุกข์ เพราะส่วนใหญ่แล้วทุกข์เกิดจากความคิด และต้องเป็นความคิดผิดด้วย ถึงจะทุกข์ได้มาก ฉะนั้น ง่ายๆ ที่เราจะทุกข์น้อยลง คือ พยายามเลิกคิด  เพราะว่า ทุกข์เพราะคิด ถ้าเลิกคิดจะได้เลิกทุกข์  และอีกคำหนึ่งไม่แน่ใจว่า อ่านเจอที่ไหน ทุกข์มีไว้ปล่อย ไม่ใช่มีไว้เก็บ คำนี้โดนสุดๆ ยังไงคงต้องศึกษาเรื่องธรรมะอีกเยอะ เพราะธรรมะเป็นเรื่องที่สามารถแก้ปัญหาได้ไม่มีที่สิ้นสุด ขึ้นอยู่กับว่าเราจะนำเอาธรรมะข้อไหน มาใช้ให้ตรงกับปัญหาที่เกิดขึ้น อยากฝากคนที่มีความทุกข์มากและหาทางออกไม่เจอว่า ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้แล้ว ที่สามารถตอบโจทย์ปํญหาชีวิต ได้ดีเท่ากับธรรมะ และคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนาได้

วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ความสงบขึ้นอยู่กับจิตใจและสถานที่ / ก็เลยไปที่เสถียรธรรมสถาน ใกล้บ้าน

เมื่อเรารู้สึกมีเรื่องวุ่นวายและมีปัญหาที่ไม่สบายใจ ก็อยากจะหาสถานที่สงบๆสักที่ ที่ทำให้เรารู้สึกเงียบผ่อนคลาย หยุดคิดถึงปัญหาต่างๆที่สุ่มอยู่ในหัวสมองของเรา และบรรยากาศต้องมีความเป็นธรรมชาติ เพื่อให้เราได้เข้าถึงความสงบเงียบจริงๆ อาจจะยังไม่ถึงขั้นต้องเข้าไปนั่งอยู่ในป่า แต่ขอให้มีต้นไม้ใบหญ้าที่เขียวร่มรื่น มองดูแล้วสดใสสดชื่น อิ่มเอมใจเมื่อเรามองดูอย่างมีความสุข ที่พูดมาจึงต้องยกให้เสถียรธรรมสถานเลยจริงๆ เพราะเมื่อเข้ามาข้างในแล้ว จะได้สัมผัสถึงความเป็นธรรมชาติทันที แม้ว่าจะอยู่ในตัวเมืองก็ตามและข้างนอกกำแพงก็ยังมีรถลา และผู้คนที่ยังสัญจรวุ่นวายกันอยู่ แต่พอ ก้าวเท้าเข้ามาก็จะต้องตื่นตากับบรรยากาศของเสถียรธรรมสถานอย่างแน่นอน แม้บางวันจะมีคนเข้ามาเยี่ยมชมกันเยอะ แต่ความเป็นธรรมชาติเงียบสงบก็ยังคงมีอยู่ เมื่อเราทำใจของเราให้เงียบสงบ มันก็จะสงบตาม เราก็แค่นั่งหลับตาผ่อนคลาย หายใจเข้าออกตามลม หยุดคิดถึงปัญหาที่เข้ามาในชีวิต นั่งดูลมหายใจของเราไปเรื่อยๆ พอนั่งไปได้สักพัก ความสงบก็จะเกิดขึ้นกับเรา จะมากบ้างน้อยบ้างขึ้นอยู่กับว่าในขณะนั้นเราคิดเรื่องอะไร ถ้ายังมีเรื่องให้คิดเยอะผุดขึ้นมาในสมอง ความสงบก็จะน้อย แต่ถ้าเราพยายามที่จะหยุดคิด แน่นอนว่าความสงบที่เราจะได้มากนั่นย่อมจะเกิดกับเราอย่างมากแน่นอน ปัญหาต่างๆที่เรายังแก้ไม่ตก หรือ ยังหาทางออกไม่ได้ มันก็เริ่มจะมีทางออกมารอเราอยู่ เมื่อเราเกิดความสงบ ปัญญาก็จะเกิด อันนี้เคยเกิดขึ้นกับตัวเองมาแล้วหลายครั้ง บางครั้งเราคิดจะหาทางออก แต่มันก็ยังนึกไม่ออกว่าจะทำยังไงดี พอใจเราสงบ จิตเราสงบ ทางออกก็มีผุดขึ้นมาทันที คล้ายๆกับว่าปัญญาเกิดนั่นเอง นี่เป็นความรู้สึกส่วนตัวนะ ส่วนคนอื่นจะคิดอย่างเดียวกันมั้ยนั้น ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่ถูกและแน่นอนที่สุดคือ เมื่อเรามีสมาธิ ก็จะเกิด ปัญญา ตามมา และถ้าสมาธิเรามากขึ้น สิ่งดีๆต่างก็ย่อมมีมา อันนี้คงต้องใช้เวลาในการศึกษาและปฏิบัติเองจึงจะรู้ สำหรับตัวเองคิดว่าคงต้องฝึกและปฏิบัติอีกเยอะกว่าจะถึงขั้นนั้น แต่สำหรับคนทั่วไปที่ยังไม่คิดที่จะเข้ามาศึกษาในทางนี้ ก็เอาแค่มีความสงบเงียบภายในจิตในใจไปก่อนก็คงพอแล้ว แค่นี้ก็คงยากสำหรับบางคนอยู่นะ เพราะว่าในปัจจุบันสังคมเมืองทุกวันนี้ วุ่นวาย แข่งขัน แก่งแย่ง กันต่างๆนานา ยิ่งต้องทำมาหาเลี้ยงชีพแล้วหล่ะก็ แทบจะไม่หยุดคิดที่จะหาความเงียบสงบกันเลยทีเดียว คิดอย่างเดียวว่าต้องหาเงิน มาอยู่มากิน บางครั้งเราก็ลืมไปบ้างว่าจริงๆแล้วเราต้องการความสุขแบบ เรียบง่าย ความเงียบ ความสงบบ้าง ถ้าเมื่อใดที่เราเคลียดกับงานหรือปัญหาต่างๆ อยากให้ลอง นั่งหลับตาแล้วก็หยุดคิดถึงเรื่องนั้นๆ ดู เชื่อว่านั่งไปจะเกิดความสุขและความสงบอย่างแน่นอนเลย ต้องทำอย่างจริงจังนะ ไม่ใช่นั่งหลับตาแต่ยังคิดถึงปัญหาอยู่อย่างนั้นมันก็ วนเวียนอยู่ในหัวสมองเรา จะหาทางออกก็หาไมเจอ อย่างนี้คงจะหาทางออกไม่ได้แน่เลย ถ้าอยากหาทางออก ก็ต้องทำให้เรามีความสงบนิ่ง ในจิตในใจเราก่อน แล้วเดี๋ยวเราก็จะรู้เองว่าอะไรเป็นอะไร





วันนั้นตั้งใจอยากไปที่เสถียรฯ มากเพราะว่าถ้านั่งคิดหาทางออกอยู่กับบ้านคงจะคิดไม่ออกแน่เลย จึงได้ไปที่เสถียรฯอีกครั้ง วันนั้นตรงกับวันศุกร์ ช่วงประมาณบ่ายสองผู้ที่จะมาปฏิบัติธรรมก็เริ่มทยอยมาลงทะเบียนเข้าพัก เราไม่ได้รู้สีกว่าจะดูวุ่นวายอะไร ก็ทำตัวตามปรกติ เพราะตั้งใจที่จะมาหามุมสงบๆ นั่งมองดูบรรยากาศธรรมชาติ พักผ่อนสมอง ที่มีแต่เรื่องมากมายให้คิดอยู่ตลอดเวลา ให้รู้สึกว่าปลดปล่อยมันออกไปบ้างก็ดี ได้ไปซื้อกาแฟสดและก็มานั่งที่เก้าอี้เล็กๆ อ่านหนังสือธรรมะได้แป็บนึงก็ได้ยินเสียงเทศน์จากแม่ชี ที่เป็นแผ่นซีดีเปิดเสียงตามสาย ท่านเทศน์ไว้ดีมากเกี่ยวกับ อาณาปาณสติ และก็เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม วิธีนั่งสมาธิ นั่งจิบกระแฟเย็นไปก็มีความรู้สึกว่า ลองหลับตาตั้งใจฟังหน่อยสิ พอฟังไปก็ชอบ เพราะเป็นเรื่องที่เราอยากรู้อยู่พอดี พอนั่งไปสักพักรู้สึกจิตก็เริ่มสงบลง นั่งไปอีกสักพัก เริ่มจะง่วง ก็เลยเริ่มใหม่ นั่งใหม่ เอาสติมาฟังคำเทศน์ใหม่ ฟังแล้วรู้สึกมีความสุขอยู่ตลอดเวลาเลย อากาศและบรรยากาศก็ดี เงียบก็เงียบ แถมร่มรื่นอีก ทำไมรู้สีกมีความสุขอย่างนี้ ก่อนจะกลับก็เลยได้ไปกราบนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อขอพรให้เราเกิดปัญญา สมาธิ และก็สิ่งดีๆที่จะเข้ามาในชีวิต จากนั้นก็นั่งสมาธิต่อไปอีกประมาณ 15 นาที ในใจอยากจะนั่งให้ได้นานกว่านี้ เวลาตอนนั้นมันเย็นมากแล้ว ก็เลยต้องรีบกลับบ้าน กลัวว่าประตูจะปิด วันนี้รู้สึกมีความสุขมาก ที่ได้ใช้เวลาครึ่งวันเพื่อทำให้ใจสงบและก็เป็นการพักผ่อนไปได้ในตัว เอาไว้มีโอกาสคงไม่พลาดที่จะมาเป็นประจำ หวังว่าคงจะได้พาคนอื่นๆ และเพื่อนๆที่สนใจอยากจะมีจิตใจสงบ และต้องการพักผ่อนสมอง มาเยี่ยมชมและได้สัมผัสกับธรรมชาติที่เสถียรธรรมสถานฯในครั้งต่อไป

วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ประสบการณ์ครั้งหนึ่งที่ได้ไปปฏิบัติธรรมที่เสถียรธรรมสถาน


            เมื่อไม่นานมานี้มีโอกาสได้ไปปฏิบัติธรรมที่เสถียรธรรมสถาน ไม่คาดคิดว่าการได้เข้าไปปฎิบัติธรรมในครั้งนี้ได้อะไรหลายอย่าง ๆที่ไม่ได้คิดมาก่อน เริ่มตั้งแต่ บรรยากาศภายในเสถียรธรรมสถาน เป็นสถานที่ที่ร่มรื่นมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะมีป่าเล็กๆในเมือง แต่ความรู้สึกก็มักจะคิดเสมอ เหมือนอยู่ในรีสอร์ทสักแห่งในต่างจังหวัด เวลาได้เดินเข้าไปด้านในที่พักหรือทางเดินจงกลมแล้วหล่ะก็ คล้ายกับได้เข้าไปอยู่ในหนังเรื่องจูราสสิคปาร์คยังไงไม่รู้ ทุกครั้งที่เดินผ่านก็จะเก็บเกี่ยวอารมณ์สุณทรีย์ ตลอดทางเดิน ช่างเป็นบรรยากาศที่ไม่เหมือนที่ไหนมาก่อน ชอบมากและก็มีความสุขทุกที ทั่วทั้งบริเวรของเสถียรธรรมสถาน มองไปทางไหนก็ดูดี คนออกแบบ ช่าง มีจินตนาการ ที่เยี่ยมมาก ทั้งต้นไม้ สิ่งปลูกสร้างต่างๆ หาดูได้ยากนะ คิดว่า


             ส่วนในเรื่องการปฏิบัติธรรม ที่นี่ก็สอนดีนะ ง่ายๆ แต่ได้ใจความ ไม่ต้องอะไรมากแค่ให้เรากำหนด ดูลมหายใจของเราแล้วอยู่กับปัจจุบัน ต้องมาเรียนรู้ด้วยตนเองและจะได้อะไรกลับไปมากกว่าที่คิดนะ ที่นี่น่าจะเหมาะกับคนที่มาปฏิบัติแบบไม่ได้เคร่งครัดอะไร เพราะที่เสถียรจะเป็นสถานที่ ที่คน เข้ามาเยี่ยมชมหรือมาทำกิจกรรมกันเป็นประจำ โดยเฉพาะช่วงวันเสาร์ วันอาทิตย์ คุณแม่ชีศัลสนีย์ จะจัดรายการธรรมตอนสายๆ เป็นการพูดสนทนาธรรมะทั่วๆไป ตามสถานการณ์ เข้าไปนั่งฟังแล้วก็เพลินดี ได้ข้อคิดดีๆอีกเยอะ


             ก่อนได้เข้าไปปฏิบัติธรรมที่นี่ เดิมทีคิดว่าเราจะได้อะไรกลับมาบ้าง คำตอบ เยอะมาก ขึ้นอยู่กับคนๆนั้น จะได้มากน้อยแค่ไหน ขอบอกว่ากิจกรรมที่นี่ดีจริงๆ ไหนจะโยคะสมาธิ นอนบนสนามหญ้าตอนเช้าๆ เล่นเอาเราเคลิ้มเกือบจะหลับไปเลย จริงๆ


  คนที่ได้ยินได้ฟังมา ถ้าไม่ได้ไปสัมผัสให้เห็นกับตาจะไม่มีวันได้สัมผัสความรู้สึกที่แท้จริงว่าที่ไหนเป็นอย่างไร จึงขอยกตัวอย่างของที่เสถียรธรรมสถานมาเป็นตัวอย่าง หนึ่ง ว่าการที่เราจะไปปฏิบัติธรรมที่ใดก็ตาม ถ้าเราได้ยินได้ฟังมาว่าที่นั่นดี ที่นั่นไม่ดี หรือ อะไรต่างๆก็แล้วแต่ ขอให้อย่าได้เชื่อจนหมด ทุกอย่าง เราเองต้องเป็นคนไปพิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วจะรู้ ฉันใดก็ฉันนั้นการปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน ได้ยินได้ฟังมาก็เยอะ แต่ถ้าเราไม่นำมาปฏิบัติเรียนรู้ด้วยตนเอง เราก็ไม่เข้าใจมันอย่างท่องแท้ในสิ่งที่คนอื่นเค้าพูดมา ว่าสิ่งนี้ สิ่งนั้นเป็นอย่างไร สรุปง่ายๆ ทำด้วยตัวเอง แล้วก็จะรู้ด้วยตนเอง เพียงแต่สิ่งที่เราได้รู้ได้เรียนได้ฟังมา เป็นโจทย์ที่เราต้องหาคำตอบ ต่อไป


วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

นับว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง

This is a wonderful event that i have a chance to be a volunteer  .i dont know how to explain in words . it is a special  job for my life .i came to help  Bhikkhuni Rattanavali & Bhikkhuni Dr.Lee on 2 March 2010 till 9 March .

The 2010  outstanding Women In Buddhism Awards Ceremony  In honor Of  The United Nations International Women's Day  ,March 5-8 .It was located at Bangkok ,Thailand .

In the evening we moved to Tara Khadiravana Center ,Hua Hin  Province. for workshop and Seminar.



My main duty was took care of Jepanese family ,i just was supposed .Actually  i don't know what should i do but i must take care of everyone especially,who were  recipients because they were guests. they came from many countries such as Malaysia,Taiwan ,Usa,Jepan,and Thailand.
 





This is Mrs. Ruri Sato who is a recipient that is well known an artist in Japan ,her songs and poemes are very beautiful .she took her 4 childrens for holiday in thailand too. My duty was their guide to Grand palace and Hua Hin beach,so on.








Here is a Tara Khadiravana Center of  Dr.Krisadawan  Hongladarom who is a founder & director.It is very beautiful place ,seem like a dream or movie especially at night,I felt,peace ,quiet ,cool ,still and happy .I stayed in a tent and last day stayed in a stupa (the right one) of pic.Oh ,i forgot to tell that it is  decorated like Tibet style.


Not finish seminar yet, but it was a taking     picture time.                                                      
one day in the evening ,Dr.Krisadawan took   everyone to a big tree which it has an             interesting story, talking about the former    of   Tara  Avalokitesvara.It was quite dark , could not see well.                                             

  
                                                                                                    
very nice picture .
More Photos link at:  

http://picasaweb.google.co.th/lawinda/BuddhismWomenForum?feat=email#