วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ประวัติเขาพระวิหารเสด็จพ่อศิวะ

ด้วยพระบารมีและพระเมตตาแห่งองค์เสด็จพ่อพระศิวะ และแรงอธิษฐานของพระเดชพระคุณพระอาจารย์ใหญ่เสกกวงเซง พระวิหารเสด็จพ่อพระศิวะจึงเกิดขึ้น ณ เลขที่ 141 หมู่ที่ 5 ซอยคู้บอน 27 แยก 27 (ซอยสยามธรณี) ถ.คู้บอน (ถ.รามอินทรา71 กม.8) แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพฯ

พระวิหารแห่งองค์พระมหาศิวะเทพแห่งนี้ได้ก่อสร้างขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2546 โดยมีเนื้อที่ทั้งสิ้นกว่า 40 ไร่ เป็นที่ประดิษฐานเทวรูปองค์พระมหาศิวะเทพ ซึ่งมีขนาดหน้าตักกว้าง 9.99 เมตร และมีความสูง 16 เมตร อีกทั้งยังเป็นที่ประดิษฐานเหล่ามหาเทพ และเทพพรหมต่าง ๆ มากมาย

นอกเหนือจากพระวิหารหลัก ซึ่งเปิดให้สาธุชนผู้มาเยือนทุกท่านได้สักการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ แล้ว ด้านหน้าของพระวิหารยังเป็นที่ประดิษฐาน “สระน้ำศักดิ์สิทธิ์” ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการตกแต่ง สระน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้มีขนาดกว้าง 9 เมตร ยาว 44 เมตร และลึก 1.50 เมตร เมื่อแล้วเสร็จ สระน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้จะบรรจุน้ำจากากสถานที่สำคัญ 3 แห่งของประเทศอินเดีย คือ น้ำจากเขาไกรลาศ, จากสุวรรณวิหาร เมืองอมฤตสา และจากแม่น้ำคงคา เมืองพาราณสี

บริเวณที่ดินด้านหลังของพระวิหาร พระเดชพระคุณพระอาจารย์ใหญ่เสกกวงเซงมีดำริที่จะสร้าง “เขาวิเศษ” แห่งองค์เสด็จพ่อพระศิวะ และเทวรูปพระโพธิสัตว์กวนอิมปางสมาธิ หน้าตักกว้าง 18 เมตร สูง 21 เมตร นับว่าสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้จะเป็นศูนย์รวมแห่งศรัทธาของผู้คนทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา จากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งตรงกับปณิธานของพระเดชพระคุณพระอาจารย์ใหญ่เสกกวงเซงที่ท่านต้องการสร้างปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์และยิ่งใหญ่ในประเทศไทยเพื่อให้คนทั่วโลกได้เข้ามากราบไหว้ ซึ่งเป็นการรักษาวัฒนธรรมของความเป็นเมืองพุทธให้คงอยู่กับประเทศไทยอย่างยั่งยืน

หลายต่อหลายท่านอาจสงสัยเหมือนกับที่หลาย ๆ คนเคยถามพระเดชพระคุณพระอาจารย์ใหญ่ว่า ทำไมท่านจึงสร้างพระฮินดู (เสด็จพ่อพระศิวะ) ในขณะที่ท่านเป็นพระภิกษุณีในพุทธศาสนา

พระเดชพระคุณพระอาจารย์ใหญ่จึงกล่าวตอบว่า ท่านเคารพและสรรเสริญพระศาสดาของทุก ๆ ศาสนา เพราะทุกศาสนาต่างสอนให้คนเป็นคนดี ให้เป็นคนมีความรัก ความเมตตา ต่อพี่น้องร่วมโลกเดียวกัน แท้ที่จริงแล้วเราคือหนึ่งเดียวกัน (ด้วยหลักการคิดเช่นนี้ พระเดชพระคุณพระอาจารย์ใหญ่จึงให้มีสัญลักษณ์เลข 1 ตามที่ต่าง ๆ ในสถานปฏิบัติธรรมที่ท่านสร้าง เพื่อเตือนสติผู้มาเยือนว่า “เราทุกคนคือหนึ่งเดียวกัน”)

หากจะถามว่าทำไมท่านสร้างพระอินเดีย ท่านจึงถามกลับไปยังผู้ถามว่า เราชาวพุทธเคารพบูชาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างสูงสุด แล้วพระองค์ไม่ใช่คนอินเดียหรือ? ท่านกล่าวอีกว่า ไม่ว่าจะคนไทย คนอินเดีย หรือคนเชื้อชาติไหน เราก็คือพี่น้องกันทั้งสิ้น คนเราไม่สามารถเลือกว่าจะเกิดเป็นคนชาติใด ภาษาใด ได้ แต่เราเลือกที่จะทำดีร่วมกันได้ ต่างคนต่างเชื้อชาติต่างภาษาย่อมมีเอกลักษณ์ มีส่วนดี ๆ ในแต่ละบุคคล เราจึงควรมารวมกัน นำสิ่งดี ๆ ของแต่ละบุคคลมาพิจารณา ประยุกต์ ปฏิบัติ เพื่อให้สังคม และประเทศชาติของเราเจริญรุ่งเรือง

ท่านเปรียบพระวิหารเสด็จพ่อพระศิวะแห่งนี้เสมือนบ้านพ่อ และเปรียบพระตำหนักพระแม่กวนอิม โชคชัย 4 เสมือนบ้านแม่ ท่านต้องการให้สถานปฏิบัติธรรมที่ท่านสร้างเป็นสถานที่ที่ทุกคนมาแล้วมีความสุข ได้รับความอบอุ่น เหมือนได้กลับมาสู่อ้อมอกของพ่อและแม่ โดยไม่แบ่งแยกชนชั้น เชื้อชาติ ศาสนา

พระเดชพระคุณพระอาจารย์ใหญ่ยังชี้แนะต่อว่า คนไทยบูชา “เจ้าพ่อหลักเมือง” ซึ่งมีเสาหลักเมืองเป็นสัญลักษณ์ คนจีนบูชา “ทีตี่แป่บ้อ” (เทพแห่งฟ้าดิน) ซึ่งมีเสาพันด้วยมังกรเป็นสัญลักษณ์ ส่วนคนอินเดียบูชา “พระมหาศิวะเทพ” ซึ่งมีศิวะลึงค์ เป็นสัญลักษณ์ หากพิจารณาให้ถ่องแท้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราบูชาก็คือ เสด็จพ่อ พระศิวะองค์เดียวกันนั่นเอง เช่นเดียวกับองค์พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์ (อวโลกิเตศวร) พันเนตรพันกร ที่ชาวพุทธทั่วโลกนับถือบูชา เมื่อคนฮินดูเห็นรูปของพระองค์ เขาก็บอกว่า นี่คือองค์แม่ทุรคา


เมื่อพิจารณาแล้วสิ่งที่ต่างกันก็เป็นแค่คำนิยามที่มนุษย์เรียกขานแตกต่างกันไปเท่านั้น
เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ถึงแม้พระวิหารยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ และยังไม่ได้ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ ศาสนสถานแห่งนี้ก็ได้มีโอกาสต้อนรับสาธุชนทั้งในและนานาประเทศมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอินเดียที่หลั่งไหลมานับร้อยนับพัน เพื่อมาสักการบูชาขอพร ณ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ทุก ๆ คนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า สถานที่แห่งนี้ไม่เป็นเพียงสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่ยังเป็นศาสนสถานอันงดงาม ยิ่งใหญ่ และอบอุ่น ซึ่งความเมตตา และอบอุ่นนี่เองเป็นสิ่งที่พระเดชพระคุณพระอาจารย์ใหญ่เสกกวงเซงมอบให้แก่
ทุก ๆ คน จนกระทั่งชาวอินเดียต่างยกย่องท่านเสมือนแม่ จึงเรียกท่านว่า “มาตาจี” ซึ่งมีความหมายว่า “ท่านแม่”

พระวิหารเสด็จพ่อพระศิวะแห่งนี้ที่ใครต่อใครเปรียบที่แห่งนี้ว่าคือบ้านพ่อยินดีต้อนรับสาธุชนทุกท่านจากทั่วทุกมุมโลก ผู้แสวงหาที่พึ่งทางใจ และต้องการปฏิบัติธรรมเพื่อสะสมคุณงามความดี สร้างสมบุญบารมี นำพาตนเองสู่ความสงบสุข และที่สุดนำมาซึ่งสันติสุขสู่สังคมอย่างถาวร


* ข้อมูลมาจากเว็ปพระตำหนักพระแม่กวนอิมโชคชัยสี่

ประวัติพระมหาเจดีย์พระพุทธเจ้าหนึ่งหมื่นพระองค์

                            พระมหาเจดีย์พระพุทธเจ้าหนึ่งหมื่นพระองค์


ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล ในขณะที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศนาธรรม

ท่ามกลางพุทธบริษัทสี่จำนวนมากอยู่นั้น พระองค์ทรงตรัสว่า “วันนี้พวกเราโชคดี

ที่ได้มีพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ (พระแม่กวนอิม) เสด็จมาร่วมฟังธรรมด้วย”

เมื่อนั้นพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ก็ทรงเปล่งรัศมีสว่างไสวไปทั่วทั้งทศทิศ

สมณสงฆ์พร้อมสาธุชนซึ่งมาร่วมฟัง พระธรรมเทศนาแห่งพระบรมศาสดา

จึงเห็นพระรัศมีแห่งพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ เสมือนพระองค์มีพันกร

พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ทรงเปล่งวาจา ขอให้พระพุทธศาสนายั่งยืนเป็น

หมื่นปี โดยพระองค์จะสร้างพระมหาเจดีย์พระพุทธเจ้าหนึ่งหมื่นพระองค์ถวายเป็น

พุทธบูชาธรรมบูชา แด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ด้วยเหตุดังกล่าวประกอบกับปณิธานของ พระเดชพระคุณพระอาจารย์ใหญ่

เสกกวงเซง ที่ต้องการเทิดทูน สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และ

ต้องการสนองเบื้องพระยุคลบาทในพระมหากรุณาธิคุณ แห่งพระบาทสมเด็จ

พระเจ้าอยู่หัวผู้ซึ่งเปี่ยมไปด้วยพระมหาเมตตา พระบารมีมากล้นรำพัน ท่านจึง

มีดำริสร้างพระมหาเจดีย์พระพุทธเจ้าหนึ่งหมื่นพระองค์บนที่ดิน ฝั่งตรงข้าม

พระตำหนักพระแม่กวนอิม โชคชัย 4 ในปี พ.ศ. 2529 เพื่อเป็นศาสนสถาน

อันศักดิ์สิทธิ์ถวายแด่พระพุทธองค์บนผืนแผ่นดินไทย ให้ทั่วโลกเดินทาง

มากราบไว้

ถึงแม้ว่าพระเดชพระคุณพระอาจารย์ใหญ่เมี่ยวซ่านจะให้ท่านสร้างพระมหาเจดีย์

พระพุทธเจ้าหนึ่งหมื่นพระองค์ที่เมืองจีนก็ตาม พระเดชพระคุณพระอาจารย์ใหญ่

เสกกวงเซงเคยกล่าวไว้ว่า คนจีนหลายต่อหลายคน บอกว่า...............ท่านคือคนจีน

คือลูกหลานจีน ท่านไม่อาจปฏิเสธได้ว่าท่านมี เชื้อสายจีน แต่หากว่าท่านเกิด

เมืองไทย ท่านคือคนไทย ท่านโชคดีเหลือเกินที่ ท่านเกิดมาบนผืนแผ่นดินไทย

ที่ซึ่งมีพระมหากษัตริย์ผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตา

ฉะนั้นพระมหาเจดีย์พระพุทธเจ้าหนึ่งหมื่นพระองค์ ต้องเกิดขึ้นที่นี่ ชีวิตนี้ท่านดีใจ

ที่ได้เกิดมารับใช้พระพุทธศาสนา ได้มาสร้างประโยชน์ให้แก่พระศาสนา ซึ่งได้สร้าง

ความภาคภูมิใจกว่าการมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย ชีวิตนี้ท่านขออุทิศให้แก่

พระพุทธศาสนาเพื่อให้คนรุ่นหลังได้กราบไหว้บูชา

สำหรับการก่อสร้างพระมหาเจดีย์พระพุทธเจ้าหนึ่งหมื่นพระองค์ ได้มีการวางศิลาฤกษ์

ในวันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2531 หลังจากที่ได้ประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์แล้ว

การก่อสร้างได้ดำเนินไปตามขั้นตอน โดยมีพระเดชพระคุณพระอาจารย์เสริมศักดิ์

อธิปัญโญ ได้กรุณามาช่วยดูแลการก่อสร้างอย่างใกล้ชิด อีกทั้งนักบวชมหายานทุกรูป

นำโดยพระเดชพระคุณพระอาจารย์ใหญ่เสกกวงเซง และคณะกรรมการมูลนิธิศิษย์

พระแม่กวนอิม รวมถึงสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาอีกหลายท่านร่วมกันลงมือ ลงแรง ร่วมใจ

กันก่อสร้างพระมหาเจดีย์แห่งนี้ จนถึงขั้นตอนของการขุดหน้าดิน เพื่อที่จะทำฐานรากและชั้นใต้ดินของ

องค์พระมหาเจดีย์ฯ

ได้มีสิ่งอัศจรรย์เกิดขึ้นคือ การขุดดินจากผิวดิน

ลึกลงไปถึง 8 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 50 เมตร แต่ไม่มีน้ำซึม

ออกมาจากใต้ดินเลยแม้แต่น้อย

ในขณะเดียวกันภายนอกบริเวณพระมหาเจดีย์ฯ ได้มีการขุดคลอง ลึกลงไปเพียง 2 เมตร
แต่กลับมีน้ำไหลออกมาจากชั้นใต้ดินเป็นจำนวนมาก และความอัศจรรย์ในครั้งนั้น จึงทำให้การก่อสร้างพระมหาเจดีย์ฯ ได้รับความสะดวกอย่างมาก เพราะไม่ต้องคอยสูบน้ำ ไม่ต้องใช้เครื่องมือกันดินไหล ทำให้ประหยัดเงินในการก่อสร้างได้อย่างมากตามปกติในการก่อสร้างอาคารสูงจะต้องใช้ทาวเวอร์เครนเพื่อลำเลียงสิ่งของวัสดุต่าง ๆ ในการก่อสร้าง แต่การก่อสร้างพระมหาเจดีย์พระพุทธเจ้าหนึ่งหมื่นพระองค์นี้ใช้ลิฟท์ต่อขึ้นไป ทีละชั้นสำหรับลำเลียงวัสดุก่อสร้างต่าง ๆ ยิ่งพระมหาเจดีย์ฯ สร้างสูงขึ้นเท่าไหร่ก็ต้องต่อลิฟท์สูงขึ้นเท่านั้น นับได้ว่าเป็นการ รวมพลังของกลุ่มคนอันใช้แรงกายแรงใจ ในการขนอิฐ ขนปูน ขนทราย กว่าจะได้ทีละชั้นต้องอดทนและใช้ความพยายามอย่างมาก

เป็นคติธรรมหนึ่งที่พระเดชพระคุณพระอาจารย์ใหญ่ ใช้สอนลูกหลานและลูกศิษย์ทั้งหลายว่า ตราบใดที่เรา มีความศรัทธา ความมุ่งมั่น และความสามัคคี เราจะสามารถเอาชนะทุกอุปสรรคที่กางกั้นและประสพความสำเร็จได้ในที่สุด ในทางกลับกันหากเราไม่มีความศรัทธา ความมุ่งมั่น ความสามัคคี ถึงแม้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะให้พรเราสักเพียงใด หนทางสู่ความสำเร็จนั้น มันก็ช่างดูเลือนราง

              จากเขตที่รกชัฏกลายเป็นที่ที่ราบเรียบ

         จากฝุ่นผงปูนทรายกลายเป็นซีเมนต์ที่แข็งแกร่ง
    
    จากอิฐแต่ละก้อนกลายเป็นกำแพงที่มั่นคงมหึมา

  จากหลายร้อยดวงใจกลายเป็นพระมหาเจดีย์ฯ อันศักดิ์สิทธิ์

ในที่สุด การก่อสร้างพระมหาเจดีย์พระพุทธเจ้าหนึ่งหมื่นพระองค์ก็เสร็จสมบูรณ์

งดงาม จากผืนดินว่างเปล่ากลายมาเป็นพระมหาเจดีย์ฯ อันศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่

ประดิษฐานพระพุทธเจ้าหนึ่งหมื่นพระองค์ และพระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์

(อวโลกิเตศวร) พันกรพันเนตร สูง 8.30 เมตร แกะสลักด้วยไม้จันทน์หอมจาก

ประเทศจีนปิดด้วยทองคำแท้ มีพระพักตร์ 20 พระพักตร์ จำนวน 4 องค์ นอกจาก

นี้ โดยรอบพระมหาเจดีย์ฯ ยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป และเทวรูปพระโพธิสัตว์

เทพ เซียนต่าง ๆ แกะสลักจากหินหยกขาวจากประเทศจีนมากกว่า 300 องค์

พระมหาเจดีย์ฯ แห่งนี้ยังเป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธบริษัท และมหาชนจากทั่วทุก

สารทิศที่มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาในองค์พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์

(อวโลกิเตศวร)

กล่าวได้ว่าอิฐทุกก้อน ส่วนประกอบทุกส่วนล้วนหล่อหลอมมาจากความมุ่งมั่น

อันแรงกล้าของพระเดชพระคุณพระอาจารย์ใหญ่ เสกกวงเซง พร้อมด้วย

นักบวชทุกรูป และบรรดาศิษยานุศิษย์จากทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ได้ตั้งใจสร้างถวายไว้เป็นพุทธบูชาแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเป็นสมบัติ

อันประเสริฐในพระพุทธศาสนา นอกจากนี้ ปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ยัง

เป็นสถานที่บำเพ็ญสาธารณประโยชน์ต่อสังคมนานับประการอีกด้วย

พระมหาเจดีย์พระพุทธเจ้าหนึ่งหมื่นพระองค์แห่งนี้ได้ทำการฉลองเปิด

องค์พระมหาเจดีย์ไปเมื่อวันที่ 4 – 15 ธันวาคม พ.ศ. 2543 และจะทำการ

สมโภชพระมหาเจดีย์ ในวันที่ 9 – 29 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ในช่วงเวลา

ทั้งสิ้น 21 วันนี้จะมีการเจริญพระพุทธมนต์ และบำเพ็ญกุศลถวายภัตตาหารเพลแด่พระภิกษุสงฆ์ทุกวัน วันละ 1,000 รูป (รวม 21,000 รูป) และเปิดพระมหาเจดีย์ฯ ทั้ง 21 ชั้นรวมทั้งชั้นใต้ดิน ให้สาธุชนผู้มีจิตศรัทธาทุกท่านได้เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเข้าชม

อนึ่ง ในพิธีสมโภชพระมหาเจดีย์ฯ ในครั้งนี้ คณะกรรมการผู้จัดงาน ได้รับพระกรุณาธิคุณจาก

ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี
เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีสมโภชพระมหาเจดีย์
ในวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552 เวลา 16:00 น.
ซึ่งนำความปราบปลื้มมาสู่ คณะกรรมการผู้จัดงาน คณะศิษย์พระแม่กวนอิมตลอดจน
ประชาชนบริเวณใกล้เคียงเป็นล้นพ้น


*คัดข้อมูลมาจากเว็ปของพระตำหนักพระแม่กวนอิมโชคชัยสี่

ไหว้พระ ๙ วัด เพื่อความเป็นสิริมงคล

1. ศาลหลักเมือง กรุงเทพมหานคร
(เวลาเปิด-ปิด 05.30 - 19.30 น.)

คติ " ตัดเคราะห์ ต่อชะตา"
กิจกรรม สักการะหลักเมือง ไหว้พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง เจ้าพ่อเจตคุปต์ พระเทพไชยศรี เจ้าพ่อหอกลอง ประกอบพิธีสะเดาะเคราะห์ ตามธรรมเนียมเพื่อความเป็นสิริมงคล " ไหว้หลักเมือง ตัดเคราะห์ ต่อชะตา เสริมวาสนาบารมี "

สถานที่ตั้ง อยู่บริเวณหัวมุมสวนหลวง ข้างพระบรมมหาราชวัง ถนนหลักเมือง แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร

2. วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
(เวลาเปิด-ปิด 08.30 - 16.00 น.)

คติ "แก้วแหวนเงินทองไหลมา"
กิจกรรม ไหว้พระแก้วมรกต พระพุทธรูปสำคัญในภูมิภาคเอเชีย เป็นศูนย์กลางความศรัทธาไทย - ลาว เพื่อความเป็นสิริมงคล " ไหว้พระแก้วมรกต แก้วแหวน เงินทองไหลมาเทมาตลอดปี "
สถานที่ตั้ง อยู่ในพระบรมมหาราชวัง ถนนหน้าพระลาน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร

3. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์)
(เวลาเปิด-ปิด 08.00 - 16.00 น.)

คติ "ร่มเย็นเป็นสุข"
กิจกรรม นมัสการพระพุทธไสยาสน์อันศักดิ์สิทธิ์ (ที่ฝ่าพระบาททั้งสองข้างประดับมุก ลวดลายภาพมงคล108 ประการ) เพื่อความเป็นสิริมงคล " ไหว้พระนอนวัดโพธิ์ อยู่ดีกินดีตลอดปี "
สถานที่ตั้ง หลังพระบรมมหาราชวัง ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร

4. ศาลเจ้าพ่อเสือ
(เวลาเปิด-ปิด 08.00 - 16.00 น.)

คติ "มีอำนาจบารมี"
กิจกรรม ไหว้ศาลเจ้าพ่อเสือ "ศาลเจ้าเก่าแก่ของลัทธิเต๋า" หนึ่งในสามมหาสถานของพระนครที่ชาวจีนต้องสักการะบูชา เพื่อความเป็นสิริมงคล " เสริมอำนาจบารมี "
สถานที่ตั้ง ถนนตะนาว แขวงเจ้าพ่อเสือ เขตพระนคร

5. วัดสุทัศนเทพวราราม
(เวลาเปิด-ปิด 08.00 - 16.00 น.)

คติ "มีวิสัยทัศน์ที่ดี"
กิจกรรม ไหว้พระองค์ประธาน (พระศรีศากยมุณี) ที่เก่าแก่ ซึ่งอดีตเคยประดิษฐานอยู่ที่วิหารหลวงวัด
ของกรุงสุโขทัย เพื่อความเป็นสิริมงคล "ไหว้พระวัดสุทัศนฯ มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีเสน่ห์แก่บุคคลทั่วไป" สถานที่ตั้ง บริเวณเสาชิงช้า ตรงข้ามศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร

6. วัดชนะสงคราม
(เวลาเปิด-ปิด 08.00 - 16.00 น.)

คติ "มีชัยชนะต่ออุปสรรคทั้งปวง"
กิจกรรม ไหว้พระประธานในโบสถ์และรูปเคารพสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (บุญมา) ผู้นับถือ ความซื่อสัตย์ เพื่อความเป็นสิริมงคล "ไหว้พระวัดชนะสงคราม อุปสรรคร้ายพ่ายแพ้"
สถานที่ตั้ง ถนนจักรพงษ์ แขวงบางลำพู เขตพระนคร

7. วัดระฆังโฆษิตาราม
(เวลาเปิด-ปิด 08.00 - 16.00 น.)

คติ "มีคนนิยมชมชื่น"
กิจกรรม สักการะสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) และพระประธานที่วัดระฆัง อ่านคาถาชินบัญชร เพื่อ ความ เป็นสิริมงคล " ไหว้พระวัดระฆัง มีชื่อเสียงโด่งดังตลอดปี "
สถานที่ตั้ง ถนนอรุณอัมรินทร์ แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย

8. วัดอรุณราชวราราม
(เวลาเปิด-ปิด 08.00 - 16.00 น.)

คติ "ชีวิตรุ่งโรจน์ทุกคืนวัน"
กิจกรรม ไหว้พระปรางค์วัดอรุณฯ เพื่อความเป็นสิริมงคล "ไหว้พระวัดอรุณ ชีวิตโรจน์รุ่ง ทุกวันคืน"
สถานที่ตั้ง ข้างกองทัพเรือ ถนนอรุณอัมรินทร์ เขตบางกอกใหญ่

9.   วัดกัลยาณมิตร
     (เวลาเปิด-ปิด 08.00 - 16.00 น.)
    
   คติ "เดินทางปลอดภัย"
   กิจกรรม ไหว้หลวงพ่อซำปอกง (พระพุทธไตรรัตนนายก) พระโตริมน้ำตามตำนาน กรุงศรีอยุธยา ณ  
  วัดกัลยาณมิตร เพื่อความเป็นสิริมงคล "ไหว้หลวงพ่อซำปอกง โชคดีมีชัยปลอดภัยตลอดปี"
  สถานที่ตั้ง แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรีลงเรือข้ามฟากที่ท่าปากคลองตลาดขึ้นท่าวัดกัลยาณมิตร


                                      เกร็ดเสริม เที่ยวสิริมงคลไหว้พระ 9 วัด



เป็นเรื่องที่นิยมมาตลอดกับการไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นสิริมงคลกับตัวเอง ทัวร์ "ไหว้พระ 9 วัด" กลายเป็น "มงคล" ยอดฮิตที่คนไทยและต่างชาติกำลังให้ความสนใจ
วัดทั้ง 9 ที่ว่ามี วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร, ศาลหลักเมือง, วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว), วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์), วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร, ศาลเจ้าพ่อเสือ, วัดระฆังโฆษิตารามวรมหาวิหาร, วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร (วัดแจ้ง), วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร
บางคนเคร่งครัดจัดถึงขนาดที่จะต้องไปสักการะให้ครบทั้ง 9 แห่งในวันเดียว !!! ความฮิตดังว่าทำให้การททท.หยิบ "ทัวร์มงคล" นี้ใส่ในโปรเจ็กต์ดึงดูดนักท่องเที่ยวเพื่อให้หันมาสนใจท่องเที่ยวบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์กันมากขึ้น และเพื่อเป็นการดึงดูดใจเป็นทวีคูณ ททท. เหน็บเกร็ดความรู้ ความเชื่อและวิธีการสักการะแต่ละแห่งเพื่อเสริมความมงคลกันอย่างสูงสุด

วัดชนะสงคราม ต้องไปสักการะ "พระประธาน" ในพระอุโบสถ และ "สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท" ด้วย ธูป 5 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกบัว 1 ดอก มีความเชื่อว่า "จะมีชัยชนะต่ออุปสรรคทั้งปวง"

ศาลหลักเมือง ไปสักการะ "เทพารักษ์ทั้ง 5" คือ พระเสื้อเมือง, พระทรงเมือง, พระกาฬไชยศรี, เจ้าพ่อเจตคุปต์, เจ้าพ่อหอกลอง เพื่อ "ตัดเคราะห์ ต่อชะตา เสริมวาสนาบารมี" ไหว้ เสาหลักเมืององค์จำลอง ด้วยธูป 3 ดอก เทียน 1 เล่ม ผ้าแพร 3 สี ดอกบัว และไหว้องค์จริงด้วยพวงมาลัย


วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ไปที่นี่ต้องไปไหว้ "พระแก้วมรกต" ด้วยธูป เทียน ดอกบัวคู่ เพื่อ "แก้วแหวนเงินทองไหลมาเทมา"


วัดพระเชตุพนฯ ต้องไปไหว้ "พระพุทธไสยาสน์" เพื่อ "ความสงบสุขร่มเย็น" ด้วยธูป 9 ดอก เทียนแดงคู่ ทองคำเปลว 11 แผ่น


วัดสุทัศน์ฯ เพื่อ "วิสัยทัศน์กว้างไกล มีเสน่ห์แก่คนทั่วไป" ต้องไปสักการะ "พระศรีศากยมุนี" ด้วยธูป 3 ดอก เทียน 2 เล่ม ดอกบัวหรือพวงมาลัย


ศาลเจ้าพ่อเสือ ไปสักการะ เจ้าพ่อเสือ เจ้าพ่อกวนอู เจ้าแม่ทับทิม ฯลฯ เพื่อเสริม "อำนาจบารมี" ด้วยธูป 18 ดอก ปัก 6 กระถาง เทียนแดง 1 คู่ พวงมาลัย 1 พวง


วัดระฆังฯ ต้องไปสักการะ "สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โตพรหมรังสี) ด้วยธูป) 3 ดอก เทียนคู่ ทองคำเปลว 3 แผ่น หมากพลู และภาวนาด้วยคาถาชินบัญชร เพื่อ "ความนิยมชมชื่น มีชื่อเสียงโด่งดัง"


วัดอรุณฯ ต้องไปสักการะ "พระประธาน" ด้วยธูป 3 ดอก เทียนคู่ และต้องไปเดินทักษิณาวัตรรอบ "พระปรางค์" อีก 3 รอบ เพื่อ "ชีวิตรุ่งโรจน์"


วัดกัลยาณมิตรฯ ไหว้ "พระประธานหรือหลวงพ่อซำปอกง" ด้วยธูป 3 ดอก เทียนแดงคู่ เพื่อ "ความสวัสดีมีชัย เดินทางปลอดภัย"


การได้ไปนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองนั้นไม่จำเป็นต้องไปในวันพิเศษทางศาสนาเท่านั้น หากสามารถไปนมัสการได้ทุกเมื่อ ซึ่งการไปนมัสการนี้ ไม่เพียงจะก่อให้เกิดความสบายใจเท่านั้น หากยังเป็นกุศโลบายที่สร้างความเชื่อมั่นในการพาชีวิตก้าวเดินต่อไปในอนาคต ด้วยสัญญาใจที่ให้ไว้กับตัวเอง และถ้าไม่มุ่งมั่นในโกย "มงคล" เกินไป เวลานั้นน่าจะเป็นเวลาทองที่ได้ซึมซับความสงบสุข ความศรัทธาอันยิ่งใหญ่ของบรรพบุรุษไทยได้อีกด้วย









วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ผู้หญิงอินเทรนด์กับธรรม

             ผู้หญิงสมัยใหม่ในยุคนี้สนใจธรรมะกันมากขึ้น เนื่องด้วยหลายเหตุปัจจัยเช่น จากสภาวะความเครียด ความผิดหวัง ความเบื่อหน่ายกับชีวิต ฯลฯ หรือบางคนต้องการสร้างบุญบารมีและต้องการหาความสงบสุขให้กับตัวเอง และบางคนต้องการค้นหาความหมายของชีวิต บางคนเห็นเพื่อนไปก็อยากไปบ้าง แต่ส่วนมากแล้วมาปฏิบัติธรรมเพื่อให้ชีวิตมีแต่สิ่งดีๆเข้ามา คนส่วนมากมักคิดว่าการปฏิบัติธรรมต้องไปเข้าวัด นั่งสมาธิและเดินจงกลม ซี่งจริงๆแล้ว มันเป็นแค่ส่วนหนึ่ง ที่ทำให้เกิดสมาธิได้ง่ายขึ้น ธรรมะนั้นก็เหมือนธรรมชาติ ไม่มีอะไรที่ตายตัว ขึ้นอยู่กับวิธีที่ปฏิบัติ แต่จะปฏิบัติแบบไหนนั้นก็ต้องศึกษากันไปในแต่ละสถานที่ปฏิบัติธรรมนั้นๆ แต่ละที่ก็มีวิธีและรูปแบบที่ยากง่ายต่างกันไป เคยเข้าใจผิดว่าการมาปฏิบัติธรรม แค่นั่งสมาธิและเดินจงกลมเท่านั้น ซึ่งจริงๆแล้วเคยได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่งที่เกาะสีชัง จนได้รู้และเข้าใจว่า การปฏิบัติธรรมไม่จำเป็นต้องต้องเดินหรือนั่งทำเท่านั้น แต่ทุกอย่างที่เราทำคือการปฏิบัติได้ทุกขณะ และทุกกิจกรรมที่เราทำ ไม่ว่าจะเป็นล้างจาน เดิน นั่งนอน อาบน้ำ กินข้าว กวาดวัด รดน้ำผักสวนครัว หรือในชีวิตการทำงานของเรา ฯลฯก็ทำให้เราเกิดสมาธิได้ ถ้าเราตามกำหนดรู้เท่าทันมัน

                              
           เคยถามตัวเองมั้ยว่าเราอยากมาปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร แล้วเราจะได้อะไรจากสิ่งนี้ เราได้เรียนรู้อะไร หรือมีพัฒนาการที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ คนบางคนก็ไม่สามารถตอบได้เลย แค่รู้ว่าอยากมาปฏิบัติธรรมเท่านั้น คนที่จะมาปฏิบัติธรรมจริงๆ ต้องตอบคำถามเหล่านี้ได้ จึงจะเกิดประโยชน์กับตนเองและจะได้มีเป้าหมายที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

          สำหรับผู้หญิงอินเทรนดในปัจจุบัน หันหน้าเข้าวัดกันเยอะ เพราะสังคมทุกวันนี้ดูจะสับสนและวุ่นวายกันมาก ทั้งผู้คนและเทคโนโลยีก็แทรกซึมเข้ามาในชีวิตประจำวัน ทำให้จิตใจของคนเราเต็มไปด้วยความเครียด ความว้าวุ่น และมีผู้หญิงบางกลุ่ม ก็มักจะติดเฟส เล่นไฮ บ้าผู้ชาย ติด บีบี ดื่มสังสรรค์ไปวันๆ จนลืมผู้คนที่อยู่รอบข้างว่า เป็นคนที่มีเนื้อมีจิตใจและมีความรู้สึกเหมือนกัน และก็มักจะลืมแคร์ความรู้สึกของอีกฝ่ายหนึ่งโดยไม่รู้ตัว อาจจะก่อให้เกิดปัญหาอื่นตามมาทีหลังได้ เทคโนโลยีสมัยนี้ก็ทำให้เราคุยกับตัวเราเองน้อยลง เข้าใจตัวเราเองก็น้อยลงไปด้วย ยิ่งติดเทคโนโลยีมากก็ยิ่งเลิกยากและอาจทำให้เป็นคนที่ไร้ความรู้สึกไปเลย ส่วนผู้หญิงที่พอจะมีสติก็ปลีกตัวเองออกจากสิ่งที่วุ่นวายเหล่านั้น หันมา เข้าวัดนั่งสมาธิ ฟังธรรม หาความสงบสุขที่แท้จริงให้กับตัวเอง เป็นสิ่งที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ในสมัยนี้ได้ทำกันอยู่แล้ว ทั้งดารา นักร้อง หรือแม้แต่คนในวงการบันเทิง ก็เริ่มสนใจเข้าวัดกันมากขึ้นเช่นกัน และไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีผู้หญิงที่ยังเป็นวัยรุ่นก็มีอยู่เยอะ แต่ก็มีผู้หญิงอีกจำนวนมากที่ยังหาเวลาว่างไม่ได้ มักจะอ้างเรื่องงานเป็นซะส่วนใหญ่ ซึ่งจริงๆแล้วการเข้าวัดฟังธรรม ก็ใช้เวลาไม่มากนัก ถ้าเทียบกับการไปเดินช็อปปิ้ง ดูหนัง ออนเอ็ม เล่นไฮไฟว์ หรือเฟสบุ๊ค แต่นั่นก็คือข้ออ้าง ของคนที่ไม่อยากจะเข้าวัดจริงๆ อันนี้เราก็ไม่ว่ากัน ขึ้นอยู่กับบุคคลนั้นๆ ว่ามีความสนใจทางด้านนี้มากแค่ไหน ส่วนคนที่ต้องการหาสิ่งดีๆให้กับชีวิต จะหาหนทางพัฒนาตนเอง เพื่อพัฒนาจิต พัฒนาใจ ให้เป็นคนที่มีสติ มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น ไม่ทุกข์ไม่หลงและไม่ติดกับดัก กับสิ่งที่มาทำให้มัวเมาและลุ่มหลงได้

         ผู้หญิงที่ทันสมัยจริงๆ ต้องอัพเดทเรื่องธรรมตลอดเวลา เวลาที่เราเจอเรื่องที่ไม่สบายใจ หรือเป็นทุกข์กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราจะสามารถที่จะรับมือกับมันได้บ้าง เหมือนเราได้เตรียมตัวเตรียมใจ และรู้อยู่แล้วว่าความทุกข์เป็นยังไง แล้วจะรับมือกับมันแบบไหน นั่นคือสิ่งที่ผู้หญิงอย่างๆเราๆ ต้องฝึกกันให้มากๆ แม้ว่ามันจะยากแต่ก็ไม่ง่ายนักที่จะเริ่มต้นกัน อย่าอายที่จะเข้าวัด เพราะทีเข้าผับไม่เห็นจะอายตรงไหน ฉะนั้น สิ่งที่หนีไม่พ้นก็ต้องเรื่องเกี่ยวกับธรรมะ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ธรรมก็ทันสมัยตามกระแสของโลกได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีธรรมะอยู่ในใจ มักจะเข้าใจในธรรมชาติของสิ่งที่มากระทบ  เช่นรู้ว่าสุขและทุกข์เป็นเช่นไร ควรละหรือปล่อยมันยังไงไม่ให้เราเกิดความทุกข์ใจหรือลุ่มหลงไปกับมันได้   รู้จักควบคุมอารมณ์ให้ทันความรู้สึกนึกคิดว่าเราทำอะไรคิดอะไรอยู่  แค่นี้ก็พอจะจัดการกับสิ่งที่เรากลัดกลุ้มได้   ผู้หญิงแบบนี้จะเป็นคนที่มีจิตใจเมตตา มีคุณธรรม  มีสติ  เวลาเจอปัญหาก็สามารถแก้ปัญหาได้อย่างชาญฉลาดและสุขุม  ที่สำคัญจะเป็นผู้หญิงที่สวยมาจากข้างใน ใครได้อยู่ใกล้ๆ ก็มักจะอบอุ่นและทำให้ผู้คนรอบข้างมีความสุขไปด้วย เห็นมั้ยคะว่าผู้หญิงกับธรรมในสมัยนี้ มีดียังไง

ทำไมมีรักจึงมีทุกข์

             เมื่อมีความรักเข้ามาในชีวิต ก็อยากจะให้มีแต่สิ่งที่สวยงาม อยากให้มีแต่ความอบอุ่นและความสุขอยู่ตลอดเวลา ได้ใช้เวลาที่พิเศษร่วมกันกับคนที่เรารัก ได้ห่วงหาและอาทรณ์ซึ่งกันและกัน เป็นห่วงเป็นใยในยามที่อยู่ห่างไกล และเป็นที่ปรึกษาได้ทุกเรื่องเมื่อมีปัญหา และสามารถเป็นทุกอย่างในชีวิตของเราได้ เห็นมั้ยคะว่า คนเรามีแต่ความอยากและความต้องการ อยากได้อย่างนั้น อย่างนี้ อยากให้เป็นอย่างนั้น อย่างที่ต้องการ เมื่อเราได้สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดแล้ว ก็จะมีความสุขมากและอยากให้มันเป็นแบบนี้ไปตลอด แต่ความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ความรักมักมีอุปสรรค์เสมอ มันจะไม่ให้เรามีแต่ความสุขอย่างเดียว เมื่อไหร่ที่เรามีความสุขความทุกข์มันจะหาจังหวะเข้ามาทันที ทำให้เราต้องผิดหวังเสียใจโดยที่เรายังไม่ทันตั้งตัว ไม่มีใครอยากให้ความรักของเราเป็นทุกข์ แต่ก็ไม่สามารถบังคับมันได้ การที่เราได้รักใครสักคนหนึ่งมันก็มีความสุขมากพออยู่แล้ว แต่พอเราได้รักกันไปนานๆ มันก็อาจจะมีปัญหาเกิดขึ้น พอมีปัญหาเราก็ไม่สบายใจ แล้วก็คิดมากจนเป็นทุกข์ แต่สำหรับบางคน แค่รักกันได้ไม่นานก็เป็นทุกข์ ทั้งๆที่ก็ยังมีความสุขอยู่ แต่ความทุกข์มักจะเข้ามาเคลือบแคลงทุกขณะที่เรามีความสุข แต่ทุกข์มันเข้ามาได้ไม่นาน เพราะว่ายังมีความรักที่เข้มแข็งพอที่จะสามารถเอาชนะความทุกข์เล็กๆน้อยๆเหล่านั้นได้ เช่นปรับเปลี่ยนความเข้าใจหรือทัศนะคติใหม่ ให้เรารู้จักมองโลกในแง่ดี และก็ไม่กังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึงหรือสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น และไม่เก็บเอาเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจมาคิดมาก ไม่เอาอารมณ์หึงและหวงมาทำให้เราต้องเสียใจ ดูเหมือนกับว่าเราต้องคอยสู้รบปรบมือ อยู่กับทุกข์ตลอดไป ทุกข์มันจะมาไม่ว่าวิธีใดก็วิธีหนึ่งที่ทำให้ต้องเสียใจ ร้องไห้และหลั่งน้ำตา หรือต้องทะเลาะกับคนรัก ทั้งที่เราก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น บางครั้งแค่ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ดีผุดขึ้นมาในความคิด ก็เป็นทุกข์แล้ว ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น คงจะเป็นเพราะว่า รักมากจึงหวง และห่วงมาก จนเกิดอาการระแวงขึ้นมา ถ้าต่างคนต่างเข้าใจผิดซึ่งกันและกัน หรือมีความรู้สึกน้อยใจอีกฝ่ายหนึ่งอาจจะด้วยสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง หรือบางครั้งก็ไม่มีสาเหตุเอาซะเลย นี่คงเป็นอารมณ์ที่สำคัญมากที่จะทำให้คนเราเลิกหรือทะเลาะกันก็ด้วยเหตุนี้ เป็นการจุดฉนวนทำให้เกิดทุกข์ขึ้นมาได้ง่าย โดยเฉพาะถ้าใครมาแย่งของๆเราอันเป็นที่รักแล้วหล่ะก็ จิตใจมันจะเร่าร้อนอยู่ไม่เป็นสุข ใจมันจะกระวนกระวาย เหมือนเอาเชื้อเพลิงมาสุมไฟให้ลุกลามมากขึ้น นั่นก็คือตัวเราทุกข์เอง บางครั้งเราก็เผาหัวใจตัวเราเองโดยไม่รู้ตัว เช่น เราคิดมากว่าจะมีใครมาแย่งคนรักของเราไป หรือระแวงว่าคนรักของเราจะแอบไปคบกับคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้น กลัวว่าคนรักของเราจะเปลี่ยนแปลงไป ไม่สนใจ การที่เราคิดแบบนี้มันเป็นทุกข์และก็เป็นการจุดไฟในหัวใจตัวเอง มันทรมานโดยที่ไม่ต้องมีใครมาทำให้เรารู้เช่นนั้น เราจะรู้สึกอึดอัดและอยากจะระเบิดความรู้สึกที่ไม่ดีนั้นออกมาอยู่เสมอ แต่ถ้าเราลองเปลี่ยนความคิดความรู้สึกไปในทางที่ดีที่สวยงาม ความรักของเราก็จะสดใสและยาวนานไปกับรักที่แสนจะอบอุ่นโรแมนติก


             เห็นมั้ยคะว่าทำไมเราจึงมีทุกข์เมื่อเรามีความรัก เพราะว่าเราคิดมาก คิดจนให้เกิดทุกข์ มันจึงเป็นทุกข์ และมันก็ยากด้วยที่จะขจัดความรู้สึกเช่นนั้นออกไป ถ้าเรายังอ่อนแอให้กับความรักที่มีแต่ความทุกข์อยู่แบบนี้ เราก็จะเจ็บปวดและทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มันยากเหลือเกินนะ ที่ไม่ให้ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นกับใจเราได้ คงต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจกับมันอีกเยอะจนกว่าเรารู้ทันมันและก็ไม่เอามันมาเก็บไว้ในในใจในความรู้สึก ถ้าเราคิดเช่นนั้นได้เราก็คงจะมีความสุขมากกับคนที่เรารักโดยที่เรามีปัญหาน้อยที่สุด และความทุกข์จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาให้กับหัวใจ ถ้าความรักนั้นคือการเรียนรู้ การเข้าใจ การเสียสละ การยอมรับ การเห็นใจ และการแบ่งปันสิ่งดีๆให้กัน โดยที่เราไม่คาดหวังอะไรจากมันกลับคืนมา