วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ความทุกข์ กับ ธรรมะ

              คนเรามักไม่รู้ตัวว่าความทุกข์มันจะมาเมื่อไหร่ บางทีมันก็มาแค่ไม่กี่นาที บางที ก็เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี หรือหลายปี ความทุกข์ที่พูดมา มันเป็นเพราะเราเก็บมันไว้นาน ยิ่งเราเก็บมันไว้มากทุกข์ก็มาก ถ้าเราปล่อยมันเร็วก็ทุกข์น้อยลง คนที่มีสติมักจะทุกข์น้อยกว่า เพราะเขาเหล่านั้นได้เรียนรู้แล้ว่า ทุกข์มาเดี๋ยวมันก็ไป และมันก็ยังวนเวียนอยู่แบบนี้อย่างไม่จบไม่สิ้น แค่เราไม่ตามอารมณ์ความรู้สึกนั้น เราก็สบายใจ แต่เมื่อไรที่ตามอารมณ์แห่งทุกข์นั้นก็ยากที่หลุดออกมาได้ คงต้องใช้ทั้งเวลา และสติ กว่าจะรู้สึกตัว หรือไม่ก็มีคนคอยให้สติแก่เรา ความทุกข์ก็เกิดจากหลายปัจจัยตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ทรงตรัสไว้ ซี่งเนื้อหาตรงนี้เราจะไม่พูดถึงมาก แค่พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คงพอแล้ว อะไรที่ไม่เป็นที่พอใจหรือสมหวังในสิ่งที่เราคิด หรือการที่เราผิดหวังกับสิ่งที่เรารัก ไม่ว่าจะเป็นตัวบุคคล หรือสิ่งของเครื่องใช้ และก็สิ่งที่เราปรารถนาอยากจะได้มาแต่เรากับไม่ได้ ก็ดูเหมือนว่าจะทุกข์ไปซะทุกอย่าง แค่เรามีความรู้สึกโกรธ หึง หวง อิจฉา หรือแม้แต่เสียใจ ก็ทุกข์อีก เห็นมั้ยว่า ทุกข์มันมาได้ตลอดเวลา แค่เสี้ยววินาทีมันก็มาโดยที่เรายังไม่ทันได้ตั้งตัว เช่น คุยกันอยู่ดีๆ กลับต้องทะเลากัน หรือไม่ก็เข้าใจผิดกัน หรือบางคนแค่เดินผ่านกันก็เกิดอาการหมั่นไส้อีกคนขึ้นมา และบางทีเห็นหน้าเกิดความไม่ชอบ ทั้งๆที่เราก็ไม่รู้สาเหตุ เห็นมั้ยคะว่า ทุกข์มันเกิดได้ตลอด และอะไรที่จะทำให้เราไม่ทุกข์ หรือทำให้ทุกข์น้อยลง นั่นก็คือ ธรรมะ



          คนที่มีธรรมะอยู่ในใจก็พอที่จะรับมือกับทุกข์ได้ จะมากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับปัญญาของแต่ละบุคคล ปัญญาในที่นี้คือ การพิจารณาที่ไปที่มาเหตุแห่งทุกข์นั้น และก็ปล่อยวางกับทุกข์ที่เกิดขึ้นได้ สำหรับคนที่ยังไม่เคยได้ศึกษาหรือได้เรียนได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับธรรมะ มักจะยังมองไม่ออกว่าจะไม่ให้มันทุกข์ได้อย่างไร จริงๆแล้วความทุกข์เราห้ามมันไม่ได้ แต่เราสามารถที่จะทำให้มันทุกข์น้อยลงมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จนเราไม่ทุกข์กับมันได้เลย พอทุกข์นี้หมด ทุกข์ใหม่ก็เข้ามา ลองสังเกตุดูมันดีๆจะเห็นเลยว่า เมื่อไรที่เราไม่มีความสุข เรามีแต่อารมณ์ผิดหวัง เศร้าโศก เสียใจ คิดมาก ร้องไห้ เครียด โกรธ ฯลฯ พอความรู้สึกนี้หมดไป ความสุขก็จะเข้ามา พอสุขได้ไม่เท่าไหร่ เดี๋ยวก็ทุกข์มารอจ่อคิวรอ ทันที เห็นมั้ยว่า มันแทบจะเป็นวงกลมหมือนเข็มนาฬิกาเลย ไม่รู้ว่าทุกข์มันจะรออยู่ที่ วินาทีใด นาทีใด ชั่วโมงใด ของเข็มนาฬิกาชีวิตนี้


       ฉะนั้น ถ้าเรามีธรรมะสอนใจเราอยู่ตลอดเวลา เท่ากับว่าเรามีภูมิคุ้มกันทุกข์ที่จะเกิดขึ้นได้ ข้อธรรมะมีหลายอย่าง จะยกตัวอย่างที่ ง่ายแต่อาจจะไม่ง่ายที่จะทำต้องอาศัยเวลาและเรียนรู้กับมัน ทุกข์มักจะมากับความคิด และความคิดนี่แหล่ะตัวสำคัญที่ทำให้เราเกิดความทุกข์มาก ถ้าเราไม่คิดถามว่า เราจะทุกข์มั้ย ? แน่นอนว่าไม่ทุกข์ เพราะส่วนใหญ่แล้วทุกข์เกิดจากความคิด และต้องเป็นความคิดผิดด้วย ถึงจะทุกข์ได้มาก ฉะนั้น ง่ายๆ ที่เราจะทุกข์น้อยลง คือ พยายามเลิกคิด  เพราะว่า ทุกข์เพราะคิด ถ้าเลิกคิดจะได้เลิกทุกข์  และอีกคำหนึ่งไม่แน่ใจว่า อ่านเจอที่ไหน ทุกข์มีไว้ปล่อย ไม่ใช่มีไว้เก็บ คำนี้โดนสุดๆ ยังไงคงต้องศึกษาเรื่องธรรมะอีกเยอะ เพราะธรรมะเป็นเรื่องที่สามารถแก้ปัญหาได้ไม่มีที่สิ้นสุด ขึ้นอยู่กับว่าเราจะนำเอาธรรมะข้อไหน มาใช้ให้ตรงกับปัญหาที่เกิดขึ้น อยากฝากคนที่มีความทุกข์มากและหาทางออกไม่เจอว่า ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้แล้ว ที่สามารถตอบโจทย์ปํญหาชีวิต ได้ดีเท่ากับธรรมะ และคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในพระพุทธศาสนาได้

วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ความสงบขึ้นอยู่กับจิตใจและสถานที่ / ก็เลยไปที่เสถียรธรรมสถาน ใกล้บ้าน

เมื่อเรารู้สึกมีเรื่องวุ่นวายและมีปัญหาที่ไม่สบายใจ ก็อยากจะหาสถานที่สงบๆสักที่ ที่ทำให้เรารู้สึกเงียบผ่อนคลาย หยุดคิดถึงปัญหาต่างๆที่สุ่มอยู่ในหัวสมองของเรา และบรรยากาศต้องมีความเป็นธรรมชาติ เพื่อให้เราได้เข้าถึงความสงบเงียบจริงๆ อาจจะยังไม่ถึงขั้นต้องเข้าไปนั่งอยู่ในป่า แต่ขอให้มีต้นไม้ใบหญ้าที่เขียวร่มรื่น มองดูแล้วสดใสสดชื่น อิ่มเอมใจเมื่อเรามองดูอย่างมีความสุข ที่พูดมาจึงต้องยกให้เสถียรธรรมสถานเลยจริงๆ เพราะเมื่อเข้ามาข้างในแล้ว จะได้สัมผัสถึงความเป็นธรรมชาติทันที แม้ว่าจะอยู่ในตัวเมืองก็ตามและข้างนอกกำแพงก็ยังมีรถลา และผู้คนที่ยังสัญจรวุ่นวายกันอยู่ แต่พอ ก้าวเท้าเข้ามาก็จะต้องตื่นตากับบรรยากาศของเสถียรธรรมสถานอย่างแน่นอน แม้บางวันจะมีคนเข้ามาเยี่ยมชมกันเยอะ แต่ความเป็นธรรมชาติเงียบสงบก็ยังคงมีอยู่ เมื่อเราทำใจของเราให้เงียบสงบ มันก็จะสงบตาม เราก็แค่นั่งหลับตาผ่อนคลาย หายใจเข้าออกตามลม หยุดคิดถึงปัญหาที่เข้ามาในชีวิต นั่งดูลมหายใจของเราไปเรื่อยๆ พอนั่งไปได้สักพัก ความสงบก็จะเกิดขึ้นกับเรา จะมากบ้างน้อยบ้างขึ้นอยู่กับว่าในขณะนั้นเราคิดเรื่องอะไร ถ้ายังมีเรื่องให้คิดเยอะผุดขึ้นมาในสมอง ความสงบก็จะน้อย แต่ถ้าเราพยายามที่จะหยุดคิด แน่นอนว่าความสงบที่เราจะได้มากนั่นย่อมจะเกิดกับเราอย่างมากแน่นอน ปัญหาต่างๆที่เรายังแก้ไม่ตก หรือ ยังหาทางออกไม่ได้ มันก็เริ่มจะมีทางออกมารอเราอยู่ เมื่อเราเกิดความสงบ ปัญญาก็จะเกิด อันนี้เคยเกิดขึ้นกับตัวเองมาแล้วหลายครั้ง บางครั้งเราคิดจะหาทางออก แต่มันก็ยังนึกไม่ออกว่าจะทำยังไงดี พอใจเราสงบ จิตเราสงบ ทางออกก็มีผุดขึ้นมาทันที คล้ายๆกับว่าปัญญาเกิดนั่นเอง นี่เป็นความรู้สึกส่วนตัวนะ ส่วนคนอื่นจะคิดอย่างเดียวกันมั้ยนั้น ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่ถูกและแน่นอนที่สุดคือ เมื่อเรามีสมาธิ ก็จะเกิด ปัญญา ตามมา และถ้าสมาธิเรามากขึ้น สิ่งดีๆต่างก็ย่อมมีมา อันนี้คงต้องใช้เวลาในการศึกษาและปฏิบัติเองจึงจะรู้ สำหรับตัวเองคิดว่าคงต้องฝึกและปฏิบัติอีกเยอะกว่าจะถึงขั้นนั้น แต่สำหรับคนทั่วไปที่ยังไม่คิดที่จะเข้ามาศึกษาในทางนี้ ก็เอาแค่มีความสงบเงียบภายในจิตในใจไปก่อนก็คงพอแล้ว แค่นี้ก็คงยากสำหรับบางคนอยู่นะ เพราะว่าในปัจจุบันสังคมเมืองทุกวันนี้ วุ่นวาย แข่งขัน แก่งแย่ง กันต่างๆนานา ยิ่งต้องทำมาหาเลี้ยงชีพแล้วหล่ะก็ แทบจะไม่หยุดคิดที่จะหาความเงียบสงบกันเลยทีเดียว คิดอย่างเดียวว่าต้องหาเงิน มาอยู่มากิน บางครั้งเราก็ลืมไปบ้างว่าจริงๆแล้วเราต้องการความสุขแบบ เรียบง่าย ความเงียบ ความสงบบ้าง ถ้าเมื่อใดที่เราเคลียดกับงานหรือปัญหาต่างๆ อยากให้ลอง นั่งหลับตาแล้วก็หยุดคิดถึงเรื่องนั้นๆ ดู เชื่อว่านั่งไปจะเกิดความสุขและความสงบอย่างแน่นอนเลย ต้องทำอย่างจริงจังนะ ไม่ใช่นั่งหลับตาแต่ยังคิดถึงปัญหาอยู่อย่างนั้นมันก็ วนเวียนอยู่ในหัวสมองเรา จะหาทางออกก็หาไมเจอ อย่างนี้คงจะหาทางออกไม่ได้แน่เลย ถ้าอยากหาทางออก ก็ต้องทำให้เรามีความสงบนิ่ง ในจิตในใจเราก่อน แล้วเดี๋ยวเราก็จะรู้เองว่าอะไรเป็นอะไร





วันนั้นตั้งใจอยากไปที่เสถียรฯ มากเพราะว่าถ้านั่งคิดหาทางออกอยู่กับบ้านคงจะคิดไม่ออกแน่เลย จึงได้ไปที่เสถียรฯอีกครั้ง วันนั้นตรงกับวันศุกร์ ช่วงประมาณบ่ายสองผู้ที่จะมาปฏิบัติธรรมก็เริ่มทยอยมาลงทะเบียนเข้าพัก เราไม่ได้รู้สีกว่าจะดูวุ่นวายอะไร ก็ทำตัวตามปรกติ เพราะตั้งใจที่จะมาหามุมสงบๆ นั่งมองดูบรรยากาศธรรมชาติ พักผ่อนสมอง ที่มีแต่เรื่องมากมายให้คิดอยู่ตลอดเวลา ให้รู้สึกว่าปลดปล่อยมันออกไปบ้างก็ดี ได้ไปซื้อกาแฟสดและก็มานั่งที่เก้าอี้เล็กๆ อ่านหนังสือธรรมะได้แป็บนึงก็ได้ยินเสียงเทศน์จากแม่ชี ที่เป็นแผ่นซีดีเปิดเสียงตามสาย ท่านเทศน์ไว้ดีมากเกี่ยวกับ อาณาปาณสติ และก็เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม วิธีนั่งสมาธิ นั่งจิบกระแฟเย็นไปก็มีความรู้สึกว่า ลองหลับตาตั้งใจฟังหน่อยสิ พอฟังไปก็ชอบ เพราะเป็นเรื่องที่เราอยากรู้อยู่พอดี พอนั่งไปสักพักรู้สึกจิตก็เริ่มสงบลง นั่งไปอีกสักพัก เริ่มจะง่วง ก็เลยเริ่มใหม่ นั่งใหม่ เอาสติมาฟังคำเทศน์ใหม่ ฟังแล้วรู้สึกมีความสุขอยู่ตลอดเวลาเลย อากาศและบรรยากาศก็ดี เงียบก็เงียบ แถมร่มรื่นอีก ทำไมรู้สีกมีความสุขอย่างนี้ ก่อนจะกลับก็เลยได้ไปกราบนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อขอพรให้เราเกิดปัญญา สมาธิ และก็สิ่งดีๆที่จะเข้ามาในชีวิต จากนั้นก็นั่งสมาธิต่อไปอีกประมาณ 15 นาที ในใจอยากจะนั่งให้ได้นานกว่านี้ เวลาตอนนั้นมันเย็นมากแล้ว ก็เลยต้องรีบกลับบ้าน กลัวว่าประตูจะปิด วันนี้รู้สึกมีความสุขมาก ที่ได้ใช้เวลาครึ่งวันเพื่อทำให้ใจสงบและก็เป็นการพักผ่อนไปได้ในตัว เอาไว้มีโอกาสคงไม่พลาดที่จะมาเป็นประจำ หวังว่าคงจะได้พาคนอื่นๆ และเพื่อนๆที่สนใจอยากจะมีจิตใจสงบ และต้องการพักผ่อนสมอง มาเยี่ยมชมและได้สัมผัสกับธรรมชาติที่เสถียรธรรมสถานฯในครั้งต่อไป